คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9557/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.ท.บ. 5) ไม่ใช่เอกสารที่แสดงว่าผู้ชำระค่าภาษีมีสิทธิในที่ดิน คือ สิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพราะเอกสารที่แสดงถึงสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมเป็นไปตาม ป.ที่ดิน มาตรา 1 คือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดิน การกระทำการเกี่ยวกับใบภาษีบำรุงท้องที่ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่กระทบถึงการที่โจทก์ยึดถือที่ดินซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิที่จำเลยทั้งหกมอบให้ไว้เป็นหลักประกันเมื่อเข้าร่วมโครงการปลูกพืชพลังงานทดแทนกับโจทก์ ทั้งโจทก์ก็ไม่เคยมีเจตนาจะชำระค่าภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งต้องนำใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.ท.บ. 5) ท่อนที่มอบให้เจ้าของที่ดินนี้มาแสดงด้วยเมื่อมาติดต่อขอชำระภาษีบำรุงท้องที่ การที่จำเลยที่ 1 ไปแจ้งความว่าใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่มอบให้โจทก์ยึดถือไว้หาย แล้วไปขออกใบแทนใหม่ จึงไม่ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ประทับฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 267 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นพยานหลักฐาน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารแล้วจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้เอกสารเท็จดังกล่าวด้วย จึงลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสองเพียงกระทงเดียว จำคุก 2 ปี และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานทดแทน ตามหนังสือรับรอง โจทก์มอบอำนาจให้นายเล็กมีอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 จำเลยที่ 1 ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิว่า เอกสาร “ภ.บ.ท.5” ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 สูญหาย ตามรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหาย ต่อมาจำเลยที่ 1 นำรายงานประจำวันดังกล่าวไปยื่นต่อองค์การบริหารส่วนตำบลศรีมงคลแล้วองค์การบริหารส่วนตำบลศรีมงคลได้ออกใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ใหม่ ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2553 ถึง 2556 ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 นายเล็กไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรไทรโยคไว้เป็นหลักฐานว่าที่ดินตามใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่ระบุในฟ้องรวม 6 แปลงเป็นของผู้แจ้ง และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 นายเล็กไปยื่นคำร้องต่อองค์การบริหารส่วนตำบลศรีมงคลขอให้ระงับการรับชำระภาษีบำรุงท้องที่และระงับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหกแปลงดังกล่าว วันที่ 26 มิถุนายน 2556 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ คดียุติตามคำสั่งศาลชั้นต้นในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เพราะแม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นเครือญาติกับจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ร่วมลงทุนก็ตาม แต่การกระทำความผิดตามฟ้องนั้นจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ดำเนินการต่าง ๆ พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การกระทำความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพันตำรวจโทสุทินว่าเอกสารหาย แล้วนำรายงานประจำวันรับแจ้งไว้เป็นหลักฐานไปแสดงและขอออกเอกสารฉบับใหม่ต่อองค์การบริหารส่วนตำบลศรีมงคลอันเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานและและความผิดเกี่ยวกับเอกสารนั้น ล้วนเป็นการกระทำเกี่ยวกับใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 มอบให้โจทก์ยึดถือไว้ เมื่อจำเลยทั้งหกเข้าร่วมและรับเงินในโครงการปลูกพืชพลังงานทดแทน (สบู่ดำ) ของโจทก์ ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ดังกล่าว (ภ.บ.ท.5) เป็นเอกสารที่แสดงว่าบุคคลที่มีชื่อในเอกสารได้ชำระค่าภาษีบำรุงท้องที่ของที่ดินสำหรับปี พ.ศ. ที่ระบุไว้ในใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) เท่านั้นแม้ว่าในเอกสารดังกล่าวระบุว่า “ภ.บ.ท.5 (ท่อนนี้มอบให้เจ้าของที่ดิน) ชื่อเจ้าของที่ดินชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม” ไว้ด้วย แต่ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ดังกล่าวก็ไม่ใช่เอกสารที่แสดงว่าผู้ชำระค่าภาษีมีสิทธิในที่ดิน คือ สิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 1 เพราะเอกสารที่แสดงถึงสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ของที่ดินย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 1 คือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดิน มิใช่ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) การกระทำการเกี่ยวกับใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่กระทบถึงการที่โจทก์ยึดถือที่ดินซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิที่จำเลยทั้งหกมอบให้ไว้เป็นหลักประกันเมื่อเข้าร่วมโครงการปลูกพืชพลังงานทดแทนกับโจทก์ ดังที่โจทก์ฎีกา ทั้งโจทก์ก็ไม่เคยมีเจตนาจะชำระค่าภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งต้องนำใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ก่อนที่มอบให้เจ้าของที่ดินนี้มาแสดงด้วย เมื่อมาติดต่อขอชำระภาษีบำรุงท้องที่ การที่จำเลยที่ 1 ไปแจ้งความว่าใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่มอบให้โจทก์ยึดถือไว้หาย แล้วไปขอออกใบแทนใหม่ จึงไม่ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดี ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อวินิจฉัยดังกล่าวได้ เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจยื่นคำฟ้องคดีนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share