แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 46 ไม่มีข้อความห้ามพนักงานจัดนำเที่ยวหรือชักชวนพนักงานอื่นไปเที่ยวก็ตาม แต่หมวดว่าด้วยวินัยของพนักงานมีว่า พนักงานต้องตั้งใจปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบคำสั่ง แบบแผน และวิธีปฏิบัติของจำเลยด้วย การที่โจทก์ชักชวนพนักงานที่มีเวรหยุดและวันทำงานตรงกับวันเกิดเหตุไปเที่ยวโจทก์ย่อมเล็งเห็นว่าจะไม่มีพนักงานเพียงพอที่จะนำรถยนต์โดยสารออกแล่นได้ ทำให้จำเลยขาดรายได้ ถือว่าโจทก์ทำผิดวินัย จำเลยสั่งพักงานโจทก์ได้ เงินช่วยเหลือบุตรเป็นสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้แก่พนักงานเป็นสิทธิประโยชน์อื่นตามข้อบังคับของจำเลย แม้โจทก์จะถูกพักงานก็มีสิทธิได้รับเงินจำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยรับผิด หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทเศษแต่พิพากษาให้จ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทเศษเป็นการผิดพลาดในการรวมจำนวนเงิน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเข้าด้วยกันโดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 3
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างจำเลย ประจำกองเดินรถที่ 1 เขตการเดินรถที่ 11 เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2534 จำเลยมีคำสั่งที่ 43/2534 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและพักงานโจทก์ทั้งสาม ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2534เป็นต้นไป โดยไม่จ่ายค่าจ้างและสิทธิผลประโยชน์อื่น ๆ แก่โจทก์ทั้งสามในระหว่างพักงาน ต่อมาวันที่ 31 พฤษภาคม 2534 จำเลยมีคำสั่งที่ 213/2534 ลงโทษภาคทัณฑ์โจทก์ทั้งสามและให้โจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2534 โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสามชักชวนพนักงานที่ต้องปฏิบัติงานในวันที่ 14 มกราคม 2534 ให้ร่วมเดินทางไปเที่ยวอุทยานวังตะไคร้ เป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารปรับอากาศสาย ปอ.12 ไม่สามารถวิ่งรับส่งผู้โดยสาร ทำให้จำเลยเสียหายเป็นความผิดทางวินัย คำสั่งพักงานและคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์โจทก์ทั้งสามไม่ชอบด้วยข้อบังคับ เนื่องจากวันที่ 14 มกราคม 2534เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ของโจทก์ทั้งสาม และโจทก์ทั้งสามมิได้ชักชวนพนักงานไปเที่ยวในวันดังกล่าว ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยเขตการเดินรถที่ 11 ที่ 213/2534 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ทั้งสามและให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและสิทธิผลประโยชน์อื่น ๆ หรือค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 32,618 บาท 28,844 บาท และ 37,388 บาทตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยและให้นับช่วงเวลาพักงานเป็นเวลาทำงานของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การว่า การกระทำของจำเลยชอบด้วยระเบียบข้อบังคับและกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าขาดรายได้ในระหว่างพักงานให้แก่โจทก์คดีระหว่างโจทก์ที่ 3 กับจำเลยไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน เนื่องจากประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดกิจการที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515ไม่ใช้บังคับ ข้อ 2 กำหนดให้รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เป็นกิจการที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ไม่ใช้บังคับ และจำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์ที่ 3 ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งออกตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 68(6) ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นพิพาท ข้อ 1 ว่า ฟ้องโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานหรือไม่ เมื่อสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเสร็จแล้ว จึงส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัย
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8(1)คดีทั้งสามสำนวนนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เขตการเดินรถที่ 11 ที่ 213/2534 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 และที่ 3 ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 1จำนวน 29,569.83 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 15,528.80 บาท และจ่ายเงินช่วยเหลือบุตรแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก
โจทก์ที่ 2 และจำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ข้อ 2.1ว่า ที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงมานั้นการกระทำของโจทก์ที่ 2ไม่เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง แบบแผนและวิธีปฏิบัติ เพราะตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 46 ไม่มีข้อความใดห้ามพนักงานจัดนำเที่ยวหรือชักชวนพนักงานอื่นไปเที่ยวนั้นเห็นว่า แม้ข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 46 จะไม่มีข้อความห้ามดังที่โจทก์ที่ 2 อ้าง แต่ข้อบังคับดังกล่าว หมวด 1 ว่าด้วยวินัยของพนักงาน ข้อ 4.3 มีข้อความว่า “ต้องตั้งใจปฏิบัติตามข้อบังคับระเบียบ คำสั่ง แบบแผนและวิธีปฏิบัติขององค์การฯ และต้องสนใจในระเบียบปฏิบัติของส่วนราชการหรือสถาบันอื่นที่เกี่ยวข้องกับกิจการในหน้าที่ของตน รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีด้วย
การประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ หรือจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคแรก เป็นเหตุให้เสียหายแก่องค์การฯ อย่างร้ายแรงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ที่ 2ชักชวนพนักงานรวมทั้งที่มีเวรหยุดและวันทำงานตรงกับวันเกิดเหตุไปเที่ยว โจทก์ที่ 2 ย่อมเล็งเห็นว่าจะไม่มีพนักงานเพียงพอที่จะนำรถยนต์โดยสารปรับอากาศสาย ปอ.12 หลายคันออกแล่นรับส่งผู้โดยสารโจทก์ที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลย ไม่สมควรกระทำทั้งที่รู้ว่าจำเลยต้องเสียหายขาดรายได้ ถือว่าโจทก์ที่ 2 จงใจไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับระเบียบ คำสั่ง แบบแผนและวิธีปฏิบัติของจำเลย เป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อ 4.3 ดังกล่าวข้างต้น
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ข้อ 2.2 ว่า การกระทำของโจทก์ที่ 2มิใช่เป็นการกระทำผิดวินัยในข้อบังคับของจำเลย ข้อ 8 หรือข้อ 9และไม่มีข้ออ้างหรือพฤติการณ์ใดเข้าข้อ 39 ฉะนั้น การที่จำเลยสั่งพักงานโจทก์ที่ 2 จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า โจทก์ที่ 2 ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย จำเลยได้สั่งพักงานโจทก์ที่ 2 และได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามข้อบังคับของจำเลย ข้อ 14 และข้อ 44 ซึ่งจำเลยได้สั่งเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2534 เมื่อโจทก์ที่ 2 ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ฉะนั้น การที่จำเลยสั่งพักงานโจทก์ที่ 2จึงชอบด้วยข้อบังคับของจำเลย ข้อ 39 แล้ว
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ข้อ 2.3 โดยอ้างผลมาจากอุทธรณ์ข้อ 2.1และข้อ 2.2 ซึ่งไม่มีเหตุทำให้ผลคดีโจทก์ที่ 2 เปลี่ยนไปจึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อ 2.2 ว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินช่วยเหลือบุตรแก่โจทก์ทั้งสาม คนละ 200 บาท โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว เพราะโจทก์ทั้งสามไม่ได้ทำงานให้แก่จำเลยในระหว่างเวลาที่ถูกสั่งพักงานนั้น เห็นว่า เงินช่วยเหลือบุตรเป็นสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้แก่พนักงานเป็นสิทธิผลประโยชน์อื่นตามข้อบังคับของจำเลย ซึ่งกรณีของโจทก์ที่ 1 ที่ 3 แม้จะถูกพักงานก็มีสิทธิได้รับตามข้อ 56.1 และโจทก์ที่ 2 ซึ่งถูกพักงานก็มีสิทธิได้รับตามข้อ 56.2 จำเลยจึงต้องจ่ายเงินช่วยเหลือบุตรดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสาม
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 14,528.80 บาท แต่พิพากษาให้จ่ายเป็นเงิน 15,528.80 บาท ผิดไปนั้น เห็นว่า เป็นการผิดพลาดในการรวมจำนวนเงินสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน14,528.80 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง