แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หากข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งเก้าต่างจุดประทัดของตนโยนใส่โจทก์ร่วม อันเป็นกรณีที่ต่างคนต่างมีเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต่างไปจากคำฟ้องที่ว่าจำเลยทั้งเก้าร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมก็ตาม แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งเก้าแต่ละคนได้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมแล้วเพราะในการกระทำนั้นไม่ว่าจำเลยทั้งเก้าจะร่วมกันกระทำหรือต่างกระทำผิดตามลำพังจำเลยทั้งเก้าแต่ละคนก็ย่อมถูกลงโทษเป็นแต่จะลงโทษได้เต็มคำขอของโจทก์และโจทก์ร่วมหรือไม่เท่านั้น ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงในทางพิจารณาดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยทั้งเก้าก็มิได้หลงต่อสู้แต่อย่างใด ศาลย่อมรับฟังลงโทษจำเลยทั้งเก้าแต่ละคนได้ตามข้อเท็จจริงที่ได้ในทางพิจารณานั้นตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7ถึงที่ 9 อุทธรณ์ ทั้งเป็นคดีที่หากศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยแล้ว อาจจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538 เวลากลางวัน จำเลยทั้งเก้าร่วมกันทำร้ายนายวันชัย คำมี ผู้เสียหาย โดยร่วมกันจุดสายชนวนประทัดแล้วโยนใส่ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ประทัดระเบิดถูกผู้เสียหาย ทำให้ตาซ้ายบอดได้รับอันตรายแก่กายสาหัสขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297, 83
จำเลยทั้งเก้าให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายวันชัย คำมี ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งเก้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 80 จำคุกคนละ 4 เดือน ปรับคนละ2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งเก้าอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 6 ถึงแก่ความตายศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 6 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่าตามคำฟ้องของโจทก์นั้น หากข้อเท็จจริงยุติดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้ว จะรับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่าเมื่ออ่านข้อความตามคำฟ้องของโจทก์ที่ได้บรรยายไว้แล้วย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งเก้ามีเจตนาร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมโดยการใช้ประทัดเป็นอาวุธเท่านั้น มิได้หมายความว่าจำเลยทั้งเก้าร่วมกันจุดประทัดดอกเดียวเพื่อทำร้ายโจทก์ร่วมดังเช่นศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ดังนั้นหากข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งเก้าต่างจุดประทัดของตนโยนใส่โจทก์ร่วม อันเป็นกรณีที่ต่างคนต่างมีเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต่างไปจากคำฟ้องที่ว่าจำเลยทั้งเก้าร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมก็ตาม แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งเก้าแต่ละคนได้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมแล้ว เพราะในการกระทำนั้นไม่ว่าจำเลยทั้งเก้าจะร่วมกันกระทำหรือต่างกระทำผิดตามลำพัง จำเลยทั้งเก้าแต่ละคนก็ย่อมถูกลงโทษ เป็นแต่จะลงโทษได้เต็มตามคำขอของโจทก์และโจทก์ร่วมหรือไม่เท่านั้น ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงในทางพิจารณาดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญ และจำเลยทั้งเก้ามิได้หลงต่อสู้แต่อย่างใด ศาลย่อมรับฟังลงโทษจำเลยทั้งเก้าแต่ละคนได้ตามข้อเท็จจริงที่ได้ในทางพิจารณาตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ได้ในทางพิจารณาดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ แล้วพิพากษายกฟ้องนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่เนื่องด้วยคดีเรื่องนี้จำเลยทั้งเก้าให้การปฏิเสธและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 ได้อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ได้กระทำผิดพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 ต่างอยู่ในเหตุการณ์โยนประทัดใส่โจทก์ร่วม ขอให้ยกฟ้อง ซึ่งปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 อุทธรณ์ทั้งเป็นคดีที่หากศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยแล้ว อาจจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี