คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9522/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องผู้คัดค้าน เมื่อพนักงานอัยการโจทก์และผู้คัดค้านไม่อุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุด ดังนั้น การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ได้ยึดหรืออายัดไว้ก็ย่อมสิ้นสุดลง ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ. มาตรในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบทรัพย์สิน 18 รายการดังกล่าว ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 29, 31
เลขาธิการประกาศให้ผู้ซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดี โดยให้ปิดประกาศไว้ที่สำนักงานและที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการยึดและอายัดทรัพย์สินนั้นเป็นเวลาเจ็ดวัน และประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน และแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ระหว่างพิจารณาผู้คัดค้านยื่นคำร้องลงวันที่ 16 มกราคม 2541 ว่า คดีที่ผู้คัดค้านถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1522/2538 ในความผิดต่อ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดตามสำเนาคำพิพากษาและใบสำคัญคดีถึงที่สุด เอกสารท้ายคำร้อง เป็นเหตุให้การยึดหรืออายัดทรัพย์ในคดีนี้สิ้นสุดลงตามกฎหมาย ขอให้จำหน่ายคดี ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องลงวันที่ 1 มิถุนายน 2541 ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้น ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 32
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นของผู้คัดค้าน และมีคำสั่งให้ริบทรัพย์สิน 18 รายการ ตามคำร้องของผู้ร้องให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 29, 30
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายก่อนประเด็นอื่นว่า การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ได้ยึดหรืออายัดไว้ เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้านต้องสิ้นสุดลง เนื่องจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้คัดค้าน ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 32 หรือไม่ เห็นว่า แม้ พ.ร.บ. ดังกล่าวกำหนดให้มีวิธีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยตามมาตรา 22 ซึ่งถือเป็นกระบวนพิจารณาคดีแพ่งอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามในมาตรา 27 ได้บัญญัติไว้ด้วยว่า เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง และทรัพย์สินที่คณะกรรมการมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดตามมาตรา 22 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ก็ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินนั้น… “บทบัญญัติดังกล่าวเท่ากับให้อำนาจศาลในการสั่งริบทรัพย์สินในทางอาญานั่นเอง ดังนั้น พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 จึงเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิดในทางอาญา ซึ่งมีหลักในการตีความที่ได้ยึดถือสืบเนื่องกันมาว่า กฎหมายอาญานั้นต้องตีความโดยเคร่งครัด จะตีความโดยเคร่งครัด จะตีความในทางขยายความให้เป็นผลร้ายหรือเป็นโทษแก่จำเลยมิได้ เหตุนี้ เมื่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาตรา 32 บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใดให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง…” ข้อความดังกล่าวระบุเพียงว่า “มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง” หาได้มีถ้อยคำเพิ่มเติมว่า “ให้ยกฟ้องเฉพาะกรณีพยานไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิด” เท่านั้นไม่ จึงไม่อาจตีความเลยไปว่าหากยกฟ้องในกรณียกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง แล้ว ย่อมไม่เข้าข่าย พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 32 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเพราะเป็นการตีความกฎหมายที่มีโทษอาญาในทางขยายความให้เป็นผลร้ายหรือเป็นโทษแก่จำเลย ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด เพราะกรณีพยานหลักฐานไม่อาจรับฟังได้ หรือเพราะกรณียกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยก็ตาม การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นก็ย่อมสิ้นสุดลง เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏชัดเจนว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องผู้คัดค้าน แม้เพราะเหตุศาลชั้นต้นยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ผู้คัดค้าน เมื่อพนักงานอัยการโจทก์และผู้คัดค้านไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด จึงต้องด้วยมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ได้ยึดหรืออายัดไว้ โดยผู้ร้องอ้างว่าเนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้คัดค้าน ย่อมสิ้นสุดลง ศาลไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินนั้นได้ จึงไม่จำต้องพิจารณาในประเด็นที่ว่าทรัพย์สินนั้นเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ รวมทั้งผู้คัดค้านได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริต และมีค่าตอบแทนหรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณะหรือไม่ ตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านยังไม่สิ้นสุด และพิพากษาให้ริบทรัพย์สินรวม 18 รายการ ของผู้คัดค้านนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง.
(วิชา มหาคุณ – พูนศักดิ์ จงกลนี – ปัญญา สุทธิบดี)

Share