แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อหาของโจทก์อาจเป็นเรื่องละเมิดหรือผิดสัญญากฎหมาย ไม่ได้บังคับว่าโจทก์จะต้องเลือกฟ้องทางใดทางหนึ่ง โจทก์เพียงบรรยายข้อเท็จจริงกับคำขอบังคับมาก็พอแล้ว ศาลก็มีหน้าที่ต้องวินิจฉัยปรับบทกฎหมายแก่คดีนั้นเอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายเป็ดให้ 100 ตัว เป็นราคา 1,300 บาทโจทก์ชำระเงินให้แล้ว 1,100 บาท จำเลยมอบเป็ดให้โจทก์ในวันตกลงซื้อขาย ส่วนเงินที่ค้างจะชำระในกำหนดต่อมา ยังไม่สิ้นกำหนดนั้นจำเลยมาทวงเงินโจทก์ ๆ ผัดไปวันรุ่งขึ้น จำเลยกลับไล่เอาเป็ดไปเสียึงขอให้จำเลยคืนเงิน 1,100 บาท พร้อมทั้งค่าอาหารเลี้ยงเป็ด 1 เดือน 560 บาท ค่าป่วยการเสียเวลาเลี้ยงเป็ด 450 บาท
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ซื้อเป็ดแต่ไม่มีเงิน จึงทำสัญญากู้ไว้ครบกำหนดโจทก์หาเงินไม่ได้จำเลยจึงไล่เป็ดกลับโดยภริยาโจทก์ช่วยไล่และรับสัญญาคืนไปแล้ว จำเลยไม่มีทางจะผิดสัญญา เพราะสัญญาซื้อขายได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว
ก่อนวันชี้สองสถานโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรับค่าเป็ดที่ค้าง 200 บาท แล้วคืนเป็ดให้โจทก์ ถ้าไม่สามารถคืนได้ก็ให้ใช้ค่าเป็ด 1,100 บาท กับค่าเสียหายตามคำขอท้ายฟ้องเดิม
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้ววินิจฉัยว่ากรณีเป็นเรื่องละเมิด แต่โจทก์ฟ้องฐานผิดสัญญาและแม้จะเป็นฟ้องฐานละเมิดก็ไม่มีทางจะบังคับตามคำขอท้ายฟ้องได้พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องที่พิพาทกันนี้อาจเป็นเรื่องละเมิดหรือผิดสัญญาในทางแพ่งกฎหมายไม่ได้บังคับว่าโจทก์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง โจทก์ฟ้องโดยบรรยายข้อเท็จจริงแล้วเรียกร้องขอบังคับมาเฉย ๆ ก็ได้ ศาลมีหน้าที่ต้องเอาตัวบทกฎหมายมาปรับกับคดีเอง (อ้างฎีกาที่ 974/2492) จึงชอบที่จะฟังข้อเท็จจริงต่อไป พิพากษายืน