แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คำพิพากษาส่วนแพ่งในคดีอาญาที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายเป็นมูลหนี้ที่ให้จำเลยส่งมอบเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่อง หรือใช้ราคาเป็นเงิน 34,922 บาท แก่โจทก์ จึงมีลักษณะเป็นการกำหนดลำดับในการบังคับชำระหนี้ที่จำเลยจะปฏิบัติชำระหนี้โดยการใช้เงินจำนวน 34,922 บาท แก่โจทก์ได้ก็ต่อเมื่อการคืนเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่อง ไม่สามารถกระทำได้แล้วเท่านั้น การบังคับคดีตามคำพิพากษาส่วนแพ่งดังกล่าวจึงต้องเป็นไปตามลำดับ เมื่อทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานใดเลยว่าเครื่องพิมพ์ดีดที่จำเลยจะต้องส่งคืนแก่โจทก์นั้นได้ถูกทำลายหรือบุบสลายไปแล้ว ซึ่งจะทำให้จำเลยไม่อาจคืนทรัพย์ดังกล่าวได้ หนี้ส่งมอบเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่องคืนแก่โจทก์ยังอยู่ในสภาพที่อาจบังคับกันได้ สิทธิเรียกร้องในหนี้เงินราคาเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่อง พร้อมดอกเบี้ยซึ่งเป็นสิทธิที่โจทก์จะมีสิทธิบังคับลำดับถัดมายังไม่อาจบังคับได้ จึงยังไม่อาจกำหนดได้โดยแน่นอนตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 9 (3) โจทก์ไม่อาจนำหนี้เงินดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายแดงที่ 7454/2531 ของศาลอาญา ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกับพวกในข้อหาความผิดฐานรับของโจรเครื่องพิมพ์ดีด 2 เครื่อง และให้จำเลยกับพวกร่วมกันคืนหรือใช้ราคาเครื่องพิมพ์ดีดดังกล่าวเป็นเงิน 34,922 บาท แก่โจทก์ จำเลยกับพวกไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงต้องร่วมรับผิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินราคาเครื่องพิมพ์ดีดนับแต่วันที่ศาลพิพากษาจนถึงวันฟ้องคดีนี้ (ฟ้องวันที่ 14 ตุลาคม 2541) เป็นเงิน 26,109.57 บาท รวมเป็นเงิน 61,031.57 บาท โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ 2 ครั้ง จำเลยได้ทราบแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์สืบหาทรัพย์สินแล้ว แต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ของจำเลยต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีหนี้สินพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาจำเลยกับพวกและมีคำขอแทนผู้เสียหายคือโจทก์ในคดีนี้ขอให้จำเลยกับพวกร่วมกันคืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด วันที่ 26 ตุลาคม 2531 ศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7454/2531 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกับพวกในความผิดฐานรับของโจรเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่อง และให้จำเลยกับพวกร่วมกันคืนหรือใช้ราคาเครื่องพิมพ์ดีดดังกล่าวเป็นเงิน 34,922 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยกับพวกมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาส่วนแพ่ง ต่อมาวันที่ 14 ตุลาคม 2541 โจทก์จึงนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาส่วนแพ่งในคดีอาญาดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีนี้ เห็นว่า ตามคำพิพากษาส่วนแพ่งในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7454/2531 ของศาลอาญาที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายนั้น เป็นมูลหนี้ที่ให้จำเลยส่งมอบเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่อง หรือใช้ราคาเป็นเงิน 34,922 บาท แก่โจทก์ คำพิพากษาส่วนแพ่งในคดีดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการกำหนดลำดับในการบังคับชำระหนี้ที่จำเลยจะปฏิบัติชำระหนี้โดยการใช้เงินจำนวน 34,922 บาท แก่โจทก์ได้ก็ต่อเมื่อการคืนเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่อง ไม่สามารถกระทำได้แล้วเท่านั้น การบังคับคดีตามคำพิพากษาส่วนแพ่งดังกล่าวจึงต้องเป็นไปตามลำดับ เมื่อทางนำสืบของโจทก์คดีนี้โจทก์มีนายปริวัตน์ ช่างอาวุธ เบิกความเพียงว่า จำเลยไม่เคยนำทรัพย์ที่รับของโจรไว้มาคืนเท่านั้น โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานใดเลยว่าเครื่องพิมพ์ดีดที่จำเลยจะต้องคืนแก่โจทก์นั้นได้ถูกทำลายหรือบุบสลายไปแล้ว ซึ่งจะทำให้จำเลยไม่อาจคืนทรัพย์ดังกล่าวได้เช่นนี้ หนี้ส่งมอบเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่องคืนแก่โจทก์ยังอยู่ในสภาพที่อาจบังคับกันได้ สิทธิเรียกร้องในหนี้เงินราคาเครื่องพิมพ์ดีดจำนวน 2 เครื่อง พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องซึ่งเป็นสิทธิที่โจทก์จะมีสิทธิบังคับลำดับถัดมายังไม่อาจบังคับได้ จึงยังไม่อาจกำหนดได้โดยแน่นอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (3) โจทก์ไม่อาจนำหนี้เงินดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการอื่นเนื่องจากไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป”
พิพากษายืน