แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วจำนวน 106,500 บาท จำเลยที่ 3 ไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์เลยทั้ง ๆ ที่ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต้องร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ จำนวน 569,624.30 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี โดยการผ่อนชำระภายในวันที่ 16 ของทุกเดือน เป็นเงินไม่น้อยกว่าเดือนละ 10,000 บาท และจะต้อง ชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2531 เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 1และที่ 3 มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธิ ที่จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีได้ และตามคำร้องของจำเลยที่ 3 หาได้กล่าวอ้างว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนหรือ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ แห่งลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างใดไม่ ดังนี้ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะยก คำร้องของจำเลยที่ 3 เสียได้โดย ไม่จำต้องทำการไต่สวนต่อไปเพราะถึงจะไต่สวนได้ความตามคำร้อง ศาลก็จะงด การ บังคับ คดีไว้ตามมาตรา 296 ที่จำเลยที่ 3 อ้างไม่ได้ อยู่แล้ว จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 3และมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดี คดีของจำเลยที่ 3 ในชั้นนี้ จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งตาราง 6 อัตราค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งขั้นสูงในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกากำหนดไว้ไม่เกิน 1,500 บาทศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เกินอัตราขั้นสูงตามตารางดังกล่าวจึงเป็นการไม่ถูกต้อง.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน569,624.30 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน481,331.98 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์โดยการผ่อนชำระเป็นรายเดือน จำเลยทั้งสามผิดนัด โจทก์จึงขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงร่วมกันดำเนินโครงการปลูกบ้านขาย และโจทก์ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายไปก่อน โดยยังไม่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์จำเลยที่ 1 จึงมิได้ผิดนัดการชำระหนี้ โจทก์ยังไม่มีสิทธิขอบังคับคดีและขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3ขอให้ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 3 และมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะต้องไต่สวนเพราะมิใช่เหตุที่จะขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีได้ จึงให้ยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาข้อแรกว่า ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 3 เสียก่อนนั้น พิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคแรก บัญญัติว่าถ้าศาลได้ออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลภายนอกที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินตามหมายบังคับคดีนั้น อาจยื่นคำขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้มีคำสั่งให้ยกหรือแก้ไขหมายนั้นเสีย ฯลฯ และวรรคสองบัญญัติว่า ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้นแล้วแต่กรณี อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะ หรือขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใด ๆ แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่เห็นสมควร ถ้าคำขอนั้นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้ยื่น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะยื่นคำร้องต่อศาลในเวลาเดียวกันนั้น ขอให้มีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้ ได้ความตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วจำนวน106,500 บาท จำเลยที่ 3 ไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์เลย ทั้ง ๆ ที่ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต้องร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ จำนวน 569,624.30 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5ต่อปี โดยการผ่อนชำระภายในวันที่ 16 ของทุกเดือน เป็นเงินไม่น้อยกว่าเดือนละ 10,000 บาท และจะต้องชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่16 กรกฎาคม 2531 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีได้และตามคำร้องของจำเลยที่ 3 หาได้กล่าวอ้างว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างใดไม่ ดังนี้ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยที่ 3เสียได้โดยไม่จำต้องทำการไต่สวนต่อไป เพราะถึงจะไต่สวนได้ความตามคำร้องศาลก็จะงดการบังคับคดีไว้ตามมาตรา 296 ที่จำเลยที่ 3 อ้างไม่ได้อยู่แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้นชอบแล้ว
จำเลยที่ 3 ฎีกาข้อต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าทนายความให้จำเลยที่ 3 ใช้แทนโจทก์สูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เห็นว่าคดีนี้จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 3และมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดี คดีของจำเลยที่ 3 ในชั้นนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งตาราง 6 อัตราค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งชั้นสูงในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกากำหนดไว้ไม่เกิน 1,500 บาทศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เกินอัตราชั้นสูงตามตารางดังกล่าว จึงเป็นการไม่ถูกต้อง
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาศาลละ 1,500 บาท แทนโจทก์.