แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความรับว่า บางส่วนของที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นของโจทก์ทั้งสี่ การครอบครองที่ดินพิพาทบางส่วนตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ทั้งสี่ เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสี่ว่าไม่เจตนายึดถือทรัพย์สินแทนโจทก์ต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381การครอบครองของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ตลอดมา จำเลยที่ 1 นำที่พิพาทไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และได้แบ่งแยกให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ทางราชการได้ประกาศให้บุคคลภายนอกทั่วไปทราบ โจทก์ทั้งสี่ไม่ไปคัดค้าน เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทรู้เห็นการกระทำดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะการครอบครองต่อโจทก์ทั้งสี่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำเลยที่ 1 ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) ด้านที่ติดกับที่ดินโจทก์และนำชี้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ รวมทั้งส่วนที่จำเลยที่ 1 เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลรับว่าเป็นที่ดินของโจทก์ แล้วแบ่งแยกเป็น 5 แปลง โอนให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 รวม 4 แปลง ขอให้จำเลยทั้งห้าเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะส่วนที่บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ และส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ทั้งสี่มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา หากเพิกถอนและส่งคืนไม่ได้ให้ร่วมกันชดใช้ราคาเป็นเงิน 525,000 บาทแก่โจทก์ทั้งสี่ให้จำเลยทั้งห้าและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปและห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว และให้ใช้ค่าเสียหาย 81,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 9,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้ความยินยอมในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หลังจากเสร็จคดีแล้วได้เข้าครอบครองที่พิพาทและขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต่อมาเมื่อปี 2528 จำเลยที่ 1 แบ่งแยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ปลูกบ้านอาศัยอยู่คนละแปลง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ค่าเสียหายไม่มากดังฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าออกจากที่พิพาทและห้ามเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เฉพาะส่วนที่พิพาทในคดีนี้ หากจำเลยทั้งห้าไม่ไปดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า หากไม่สามารถเพิกถอนและส่งมอบที่พิพาทคืนให้โจทก์ทั้งสี่ได้ ก็ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ราคาที่ดินตามส่วนเฉลี่ยที่จำเลยแต่ละคนรุกล้ำ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่เดือนละ 200 บาทนับแต่เดือนตุลาคม 2528 จนกว่าจำเลยทั้งห้าจะออกไปจากที่พิพาท
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 1 ที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 และสามีได้เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสี่ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 341/2518 ของศาลชั้นต้นยอมรับว่าด้านใต้สุดซึ่งเป็นบางส่วนของที่พิพาทในคดีนี้เป็นของโจทก์ทั้งสี่ ซึ่งหมายความว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 206 มีแนวเขตตามเส้นที่ลากจากจุดอักษร ก. ไปหาจุดที่ลากลงมาจากจุดอักษร ข. 6 เมตร ปรากฏตามแผนที่เอกสารท้ายฟ้องหมาย 3(1) จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า หลังจากที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสี่แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์ทั้งสี่ไม่เคยโต้แย้ง จึงไม่เป็นการครอบครองแทนโจทก์ทั้งสี่ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความรับว่าบางส่วนของที่พิพาทในคดีนี้เป็นของโจทก์ทั้งสี่ การครอบครองที่พิพาทบางส่วนตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ทั้งสี่ เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสี่ว่าไม่เจตนายึดถือทรัพย์สินแทนโจทก์ต่อไปหรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381การครอบครองของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ทั้งสี่ตลอดมา ส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ได้นำที่พิพาทไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และได้แบ่งแยกให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 5 ทางราชการได้ประกาศให้บุคคลภายนอกทั่วไปทราบ โจทก์ทั้งสี่ไม่ไปคัดค้าน จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้สิทธิครอบครองโดยการแย่งการครอบครองแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 1 ที่ 2 นำสืบไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทรู้เห็นการกระทำดังกล่าว จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะการครอบครองต่อโจทก์ทั้งสี่ ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน