แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม ถึง 19 กันยายน 2490 จำเลยสมคบกันลักไม้สักหรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยรับไม้สักนั้นไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้าย ต่อมาตำรวจค้นพบไม้สักที่จำเลยลักไปที่ข้างรั้วบ้านของจำเลย ขอให้ลงโทษ ดังนี้เป็นฟ้องที่ขัดกันอยู่ในตัว ใช้ไม่ได้ตามกฎหมาย
(อ้างฎีกา 975/2480)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑๕ สิงหาคม ถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๙๐ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยทั้งสองสมคบกันลักไม้สักขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จังหวัดลำปางไป ๓ ท่อน หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้รับไม้สักดังกล่าวไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาจากกระทำผิดกฎหมาย ครั้นวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๙๐ โจทก์กับตำรวจได้ไปค้นพบไม้สักที่จำเลยลักไปที่ข้างรั้วบ้านของจำเลย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๘๘, ๒๙๓, ๒๙๔, ๓๒๑, ๖๓ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ควรรับพิจารณา จึงให้ยกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อเท็จจริงอันเดียวกันโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ แล้วกลับหาว่ารับของโจร แล้วกลับว่าลักทรัพย์ กลับไปกลับมา การที่จะลงโทษผู้กระทำผิดฐานรับของโจรได้ต่อเมื่อผู้นั้นมิได้กระทำผิดในการที่ได้ทรัพย์นั้นมา หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายว่า ผู้กระทำผิดฐานลักทรัพย์ จะได้รับโทษฐานรับของโจรในทรัพย์ที่ได้ลักมาไม่ได้ ฟ้องของโจทก์จึงขัดกันอยู่ในตัว
พิพากษายืน