แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยประกอบธุรกิจธนาคาร ได้มีคำสั่งห้ามพนักงานมีส่วนเกี่ยวพันกับลูกค้าในลักษณะที่อาจจะให้เป็นที่ครหา การกู้ยืมเงินลูกค้า การเรียกร้อง หรือแสวงหาผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนจากลูกค้า ซึ่งการกระทำเหล่านี้เป็นการเบียดเบียนลูกค้าของธนาคาร โจทก์เป็นพนักงานสินเชื่อทำหน้าที่หัวหน้าหน่วย การที่ค.ภริยาโจทก์ขอยืมเงินจากอ. ลูกค้าของจำเลยประจำหน่วยนั้น และในการกู้ยืมนี้ โจทก์ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่อ. ด้วย เป็นการรู้เห็นเป็นใจ ความประพฤติของโจทก์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการเบียดเบียนลูกค้าในทำนองเดียวกัน โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ และเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายยแรง จำเลยเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เพราะโจทก์ประพฤติผิดวินัยของจำเลยอย่างร้ายแรงโดยกระทำการเบียดเบียนลูกค้าของจำเลย และลัก น.ส.3ก. ซึ่งนายอุ่นนำมาไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้กับโจทก์ ซึ่งจำเลยเก็บไว้ในห้องมั่นคงโจทก์ได้ลักออกไปโดยพลการ เพื่อให้นายอุ่นนำไปขายฝากและนำเงินมาให้โจทก์กู้ยืมอันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เบียดเบียนลูกค้าและมีหนี้สินรุงรัง จำเลยมีคำสั่งลงโทษให้ออกชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จจากจำเลย แต่ฐานความผิดที่จำเลยลงโทษโจทก์เป็นเพียงผิดวินัยที่ไม่ถึงกับร้ายแรง จึงพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม2519 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,275 บาท ขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งพนักงานสินเชื่อ 5 หัวหน้าหน่วยอำเภอเมืองเลยนางดวงพร คนสมบูรณ์ ภริยาโจทก์ได้ขอยืมเงินจากนายอุ่นภากระจ่าง ลูกค้าธนาคารจำเลย ประจำหน่วยอำเภอเมืองเลย นายอุ่นได้ขายฝากที่ดิน น.ส.3 ของตนให้นางสงบ สิงห์หล้า เพื่อนำเงินมาให้นางดวงพรยืม ในการกู้ยืมนี้โจทก์ทราบดีและเป็นใจให้นางดวงพรภริยาของตนไปกู้ยืมเงินจากนายอุ่นโดยโจทก์ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงินรายนี้ด้วยส่วนหลักฐาน น.ส.3 ของนายอุ่นที่เอาไปขายฝากให้นางสงบนั้น เป็นเอกสารที่นายอุ่นมอบให้ธนาคารจำเลยยึดถือไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ได้ถูกลักลอบนำออกไปจากธนาคารโดยโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องในการลักลอบนำเอา น.ส.3 ของนายอุ่นออกไปจากธนาคาร จำเลยเห็นว่าโจทก์กระทำการเบียดเบียนลูกค้าของธนาคาร จงใจไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับระเบียบ คำสั่งและวิธีปฏิบัติของธนาคาร ประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่และธนาคารเสียความไว้วางใจในการปฏิบัติหน้าที่ จำเลยจึงมีคำสั่งลงโทษให้ออกฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย และประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ อันเป็นความผิดตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 9 ว่าด้วยวินัยการสอบสวนและการลงโทษ ฯ ข้อ 3 ข้อ 6 (2) (6) ข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวคดีมีปัญหาที่จะได้วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยเหตุดังกล่าว จำเลยจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ ในปัญหานี้จำเลยอุทธรณ์มา 2ข้อ โดยข้อแรกอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นพนักงานสินเชื่อทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยอำเภอเมืองเลย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลเหนือลูกค้าของจำเลยอย่างยิ่ง การที่นางดวงพร คนสมบูรณ์ ซึ่งเป็นภริยาโจทก์ไปขอกู้ยืมเงินนายอุ่น ภากระจ่าง ลูกค้าของจำเลยประจำหน่วยดังกล่าว แต่นายอุ่นไม่มีเงินจึงขายฝากที่ดินเพื่อเอาเงินให้นางดวงพรกู้ยืมนั้นโจทก์ก็รู้เห็นตลอด การที่นายอุ่นยอมทำเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าเกิดจากอิทธิพลของโจทก์ ซึ่งตามหนังสือเวียนเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 3 และ 4 จำเลยก็ได้มีคำสั่งห้ามพนักงานของจำเลยทุกคน กู้ยืมเงินลูกค้าของจำเลยโดยเด็ดขาด และถือว่าเป็นกรณีที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 (3) จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยประกอบธุรกิจการธนาคาร ได้มีหนังสือเวียนเป็นคำสั่งห้ามพนักงานมีส่วนเกี่ยวพันกับลูกค้าในลักษณะที่อาจจะให้เป็นที่ครหาการกู้ยืมเงินลูกค้า การเรียกร้องหรือแสวงหาผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนจากลูกค้า ซึ่งการกระทำเหล่านี้เป็นการเบียดเบียนลูกค้าของธนาคาร โจทก์เป็นพนักงานสินเชื่อทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยอำเภอเมืองเลย ซึ่งอำนาจหน้าที่ของโจทก์มีส่วนเป็นคุณและโทษแก่ลูกค้าได้ การที่นางดวงพร คนสมบูรณ์ ภริยาโจทก์ ได้ขอยืมเงินจากนายอุ่น ภากระจ่าง ลูกค้าของจำเลยประจำหน่วยอำเภอเมืองเลย ซึ่งโจทก์เป็นหัวหน้าหน่วยอยู่ และในการกู้ยืมนี้โจทก์ก็ทราบดีโดยโจทก์ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้ยืมให้ไว้แก่นายอุ่นด้วย เป็นการรู้เห็นเป็นใจในการที่นางดวงพรประพฤติเช่นนี้ นอกจากนี้ยังได้ความว่านายอุ่นได้นำ น.ส.3 ที่นายอุ่นนำมาให้จำเลยยึดถือเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินนั้น ไปขายฝากไว้แก่นางสงบ สิงหล้านำเงินมาให้นางดวงพรยืม โดยโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องในการลักลอบนำเอา น.ส.3 ออกไปขายฝากดังกล่าวด้วย ความประพฤติของโจทก์เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการเบียดเบียนลูกค้าในทำนองเดียวกัน โดยอาศัยอำนาจหน้าที่และเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่นต่อไป ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง’.