คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน หรือแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ โดยไม่ได้กล่าวว่าครั้งแรกจำเลยแจ้งข้อความว่าอย่างไร และมิได้บรรยายว่าการแจ้งข้อความอย่างไหนเป็นความเท็จ อย่างไหนเป็นความจริง หรือความจริงเป็นอย่างไร เมื่อโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงมาว่าข้อความใดเป็นความเท็จก็ยากที่จำเลยจะต่อสู้ได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2541 เวลากลางวัน จำเลยแจ้งให้พันตำรวจโทจรัล และร้อยตำรวจเอกยงยุทธ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ในฐานะคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงทางวินัยอันเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และได้สืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาข้อยุติว่าร้อยตำรวจตรีสนวน รองสารวัตรป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธร อำเภอห้วยผึ้ง มีพฤติการณ์นำเลื่อยยนต์พร้อมอุปกรณ์ให้จำเลยกับผู้มีชื่อนำไปรับจ้างตัดเลื่อยไม้ให้จดข้อความดังกล่าวในบันทึกถ้อยคำพยานซึ่งเป็นเอกสารราชการ อันมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานอันเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งความจริงร้อยตำรวจตรีสนวน มิได้สั่งให้จำเลยกระทำการดังนั้น ต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ร้อยตำรวจเอกบำรุง กับพวกในฐานะคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย อันเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายปฏิบัติหน้าที่สอบสวนทางวินัย อันเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในบันทึกถ้อยคำพยานอันเป็นเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานว่า ร้อยตำรวจตรีสนวนมิได้มีพฤติการณ์นำเลื่อยยนต์พร้อมอุปกรณ์มอบให้จำเลยกับผู้มีชื่อนำไปรับจ้างตัดเลื่อยไม้ ซึ่งการแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความดังกล่าว อาจทำให้พันตำรวจโทจรัลและร้อยตำรวจเอกยงยุทธ ผู้อื่น หรือ ประชาชนเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267,90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จำคุก 3 เดือน ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับว่า ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว เห็นว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม และจำเลยได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น ปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ประการแรกจึงมีว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน หรือแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการมานั้น คงได้ความแต่เพียงว่าเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2541 จำเลยแจ้งแก่พันตำรวจโทจรัล ร้อยตำรวจเอกยงยุทธ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในฐานะคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาข้อยุติว่าร้อยตำรวจตรีสนวน รองสารวัตรป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอห้วยผึ้งมีพฤติการณ์นำเลื่อยยนต์พร้อมอุปกรณ์ให้จำเลยกับผู้มีชื่อนำไปรับจ้างตัดเลื่อยไม้หรือไม่ ให้จดข้อความ โดยไม่ปรากฏว่ามีข้อความอย่างไร เพียงแต่ระบุว่า “ซึ่งความจริงร้อยตำรวจตรีสนวน มิได้สั่งการให้จำเลยกระทำการดังนั้น” แล้วต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 จำเลยได้แจ้งข้อความแก่ร้อยตำรวจเอกบำรุง กับพวก ในฐานะคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยกรณีร้อยตำรวจตรีสนวนกระทำผิดวินัยดังกล่าวหรือไม่ ว่า ร้อยตำรวจตรีสนวนไม่ได้มีพฤติการณ์นำเลื่อยยนต์พร้อมอุปกรณ์ให้จำเลยกับผู้มีชื่อนำไปรับจ้างตัดเลื่อยไม้ เมื่อไม่ปรากฎว่าครั้งแรกจำเลยแจ้งข้อความว่าอย่างไร และฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าการแจ้งข้อความอย่างไหนเป็นความเท็จ อย่างไหนเป็นความจริง หรือความจริงเป็นอย่างไรเมื่อโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงมาว่าข้อความใดเป็นความเท็จเช่นนี้แล้ว ก็ยากที่จำเลยจะต่อสู้ได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ฎีกาของโจทก์ส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อคำฟ้องของโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แม้จำเลยจะเข้าใจข้อหาในคำฟ้องได้ดี และไม่หลงต่อสู้ ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องที่ไม่ชอบได้ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share