แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อบทกฎหมายเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ต้องเสียหายคิดค่าซ่อมแซมเป็นเงิน 18,072 บาท 05 สตางค์ และแม้จะซ่อมแซมก็เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสื่อมราคาจากเดิมคิดเป็นเงิน 4,000 บาท”ดังนี้ฟ้องของโจทก์ในข้อที่อ้างว่ารถเสื่อมราคานั้นได้แสดงออกโดยชัดแจ้งพอที่จะให้เข้าใจสภาพแห่งข้อหาได้ชัดเจนดีพอแล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
การที่บิดาปล่อยให้บุตรผู้เยาว์ขับรถยนต์ไปเที่ยวเสมอและในครั้งเกิดเหตุก็ขับรถยนต์ไปกับเพื่อน บิดารู้เห็นก็มิได้ห้ามตักเตือนจนขับรถไปทำให้ผู้อื่นเสียหาย ดังนี้ย่อมถือได้ว่าบิดาพิสูจน์ไม่ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่บิดาผู้ปกครองบุตรอยู่โดยปกติ จึงต้องรับผิดร่วมกับบุตรตาม มาตรา 429
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์และเป็นบุตรจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย จึงขอให้จำเลยทั้ง 2 ใช้ค่าซ่อมแซมรถกับค่าเสื่อมราคา
จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายดังฟ้อง และตัดฟ้องว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้ง 2 ใช้ค่าเสื่อมราคารถ 2,500 บาท คำขอให้ใช้ค่าซ่อมแซมให้ยกเสีย
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม และจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาปรึกษาแล้วปรากฏว่าในข้อที่โจทก์ว่ารถเสื่อมราคานี้ตามคำฟ้องเดิมและคำร้องเพิ่มเติมฟ้องคงกล่าวอย่างเดียวกันว่า”การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อบทกฎหมายเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ต้องเสียหายคิดค่าซ่อมแซมเป็นเงิน 18,072.06บาท และแม้จะซ่อมก็ยังเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสื่อมราคาจากเดิมคิดเป็นเงิน 4,000 บาท” ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าข้ออ้างตามคำฟ้องได้ความเป็นที่เข้าใจได้ชัดแล้วจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย แม้จะซ่อมแล้วรถของโจทก์ก็ยังต้องเสื่อมราคาอยู่ดังนี้จึงเห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดพอที่จะให้เข้าใจสภาพแห่งข้อหาได้แล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์คบเพื่อนเที่ยวเตร่และขับรถยนต์ไปในที่ต่าง ๆ เสมอ ๆ ซึ่งจำเลยที่ 2 ย่อมรู้อยู่ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองและใกล้จะก่ออันตรายให้แก่สาธารณชน แม้ในครั้งที่เกิดเหตุนี้ก็ได้ขับรถยนต์ไปจากบ้านพร้อมด้วยเพื่อนฝูง จำเลยที่ 2 ได้รู้เห็นอยู่ก็มิได้ห้ามปรามเพื่อตักเตือนจำเลยที่ 1 อย่างไร ปล่อยให้จำเลยที่ 1 ขับรถโดยฝ่าฝืนกฎหมายไปทำให้โจทก์ต้องเสียหาย ดังนี้ต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่บิดาผู้ปกครองบุตรอยู่โดยปกติจำเลยที่ 2 จึงไม่พ้นที่จะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 จึงพิพากษายืน