คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9402/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน18,327,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 3ผู้ค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวน2,898,257.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เฉพาะโจทก์เท่านั้นที่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพิ่มขึ้นจำเลยที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 21,904,294.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีผลทำให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดเพิ่มขึ้น จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ได้จนถึงวันที่หักทอนบัญชีกันครั้งสุดท้ายไม่ถูกต้อง เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2530 จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำนวนเงิน 1,000,000 บาทต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาอีกหลายครั้งรวมวงเงินเบิกเกินบัญชีทั้งสิ้น 5,100,000 บาท และมีการแก้ไขต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้ายครบกำหนดวันที่ 26 เมษายน 2532 การกู้ยืมเงินดังกล่าวมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 5,100,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 3,000,000 บาท และจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันวงเงิน 4,000,000 บาท และขึ้นเงินจำนองเป็นประกันอีก 3,000,000 บาท รวมวงเงินจำนองเป็นเงิน 7,000,000 บาทต่อมามีการหักทอนบัญชีวันที่ 1 เมษายน 2534 โจทก์นำเงินฝากที่เป็นประกันมาหักทอนใช้หนี้แก่โจทก์บางส่วน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์อยู่ 21,904,294.10 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระต้นเงิน 21,904,294.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2534 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,223,435.88 บาท รวมเป็นเงิน 24,127,728.98 บาท ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงิน 5,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดบอกกล่าวให้ชำระหนี้คือวันที่ 29 สิงหาคม 2534 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 205,397.26 บาท รวมเป็นเงิน 5,305,397.26 บาท และให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงิน3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดบอกกล่าวให้ชำระหนี้คือวันที่ 29 สิงหาคม 2534ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 120,821.92 บาท รวมเป็นเงิน 3,120,821.92 บาท และให้จำเลยทั้งสี่ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินที่ต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกันออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่มาขายทอดตลาดเพื่อชำระแก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ลายมือชื่อในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงของกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดวันที่ 26 เมษายน 2532 หลังจากนั้นโจทก์เรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 รับผิดเกินกว่าวงเงินที่ค้ำประกันโจทก์นำเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ไปหักใช้หนี้เบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1ภายหลังวันที่ 26 เมษายน 2532 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่เคยค้ำประกันจำเลยที่ 1 หากฟังว่าค้ำประกันจำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 18,327,369 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวน 2,898,257.21 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 124837 และ 124838ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต(บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1ที่จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์หากได้เงินจากการขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน21,904,294.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 2 เมษายน 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 2 เมษายน 2534 ถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 2,223,435.88 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชำระเงินจำนวน 18,327,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวน 2,898,257.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ปรากฏว่าเฉพาะโจทก์เท่านั้นที่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพิ่มขึ้นจำเลยที่ 3 หาได้อุทธรณ์ไม่ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 21,904,294.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวก็หามีผลทำให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ได้จนถึงวันที่หักทอนบัญชีกันครั้งสุดท้ายคือวันที่ 1 เมษายน 2534 ไม่ถูกต้องเพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 3

Share