แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญารับขน โดยบรรยายฟ้องชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ร่วมกันเป็นผู้รับขนไม้ของโจทก์จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การโดยมิได้ปฏิเสธชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ขนไม้ของโจทก์และจำเลยที่ 3 มิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ย่อมต้องฟังว่า จำเลยที่ 2 ร่วมเป็นผู้ขนไม้ของโจทก์และจำเลยที่3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์ฟ้องส่วนที่จำเลยฎีกาว่าได้มอบไม้ให้โจทก์รับไปครบถ้วนแล้ว ไม้ที่นายเรือสั่งให้ทิ้งเป็นไม้ที่ผู้ขายส่งมอบเกินมานั้นจำเลยมิได้ให้การไว้เช่นนั้น จึงเป็นฎีกานอกเหนือไปจากที่จำเลยให้การไว้รับฟังไม่ได้.
กฎหมายมิได้บังคับว่าสัญญารับขนจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ขนไม้ของโจทก์ทำให้ไม้สูญหายไป จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นนิติบุคคลประกอบกิจการขนส่งมีจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4เป็นเจ้าของเรือ ได้ร่วมกันรับขนไม้แปรรูปที่โจทก์สั่งซื้อจากผู้ขายในประเทศสิงคโปร์ จำเลยส่งไม้ให้โจทก์ขาดไปคิดเป็นเงิน 462,593.26 บาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าเรือที่ใช้ขนของรายนี้ชื่ออลิสรา 1ถูกคลื่นซัดกระแทกอย่างแรงจนลำเรือแตกร้าว นายเรือจึงสั่งให้ทิ้งสินค้าของโจทก์ส่วนหนึ่งซึ่งอยู่บนปากระวางเรือราคาประมาณ 72,000 บาทลงทะเล เพื่อป้องกันมิให้เรือคว่ำ อันเป็นการบำบัดปัดป้องภยันตรายซึ่งมีมาเป็นสาธารณะโดยฉุกเฉิน ไม่เกินสมควรแก่เหตุนายเรือและจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งโจทก์ได้รับมอบสินค้าที่เหลือไปแล้วโดยไม่อิดเอื้อน จำเลยจึงพ้นความผิด และฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 624โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่ากรณีเป็นการรับขนของทางทะเลไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 จะยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 624 มาใช้บังคับไม่ได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้ออื่นต่อไป จำเลยทั้งสี่ฎีกาศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ร่วมกันรับผิดใช้เงิน 523,926.48 บาทแก่โจทก์ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกาข้อแรกว่า ตามสัญญารับขนเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 1 เท่านั้นเป็นคู่สัญญากับโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ด้วยและโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาให้ปรากฏในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์อย่างไรจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญารับขน ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาอีกทั้งโจทก์บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดแล้วว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4ร่วมกันเป็นผู้รับขนไม้ของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4เป็นผู้รับมอบไม้ของโจทก์บรรทุกลงในเรืออลิสรา 1 เป็นผู้ควบคุม ตลอดจนบริหารกิจการเรืออลิสรา 1 จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วยดังนี้เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การต่อสู้คดีโดยมิได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ขนไม้ของโจทก์ และจำเลยที่ 3 มิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเป็นผู้ขนไม้ของโจทก์ และจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์ฟ้องเมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขนไม้ของโจทก์ทำให้ไม้สูญหายไป จำเลยที่1 ที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยฎีกาข้อต่อมา จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์รับไม้ที่จำเลยรับขนไปรวม 459 มัดครบถ้วนจำนวนตามใบตราส่งสินค้าแล้ว ไม้ที่นายเรือสั่งให้ทิ้งทะเลไปเพื่อป้องกันเรือจมจำนวน 21-22 หรือ 88แผ่น ราคาประมาณ 70,000 บาท เป็นไม้ที่ผู้ขายส่งมอบเกินจำนวนมาหากโจทก์จะได้รับความเสียหายก็เพียงไม้ที่ทิ้งทะเลไปจำนวน 21 มัด เป็นเงิน 70,000 บาทนั้น เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 รับว่า นายเรือของจำเลยที่ 2 สั่งให้ลูกเรือทิ้งไม้ของโจทก์ลงทะเลไปจำนวน 21 มัด หรือ 1,137 แผ่นคิดเป็นเงินประมาณ 72,000 บาท คงเหลือไม้ที่มอบให้โจทก์จำนวน438 มัด หรือ 27,545 แผ่น ทั้งมิได้ให้การว่าไม้ที่นายเรือสั่งให้ทิ้งทะเลเป็นไม้ที่ผู้ขายส่งมอบเกินจำนวนมา ดังนี้ ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่าได้มอบไม้ให้โจทก์รับไปครบถ้วนเต็มตามจำนวน 459 มัดแล้วจึงเป็นฎีกานอกเหนือไปจากที่จำเลยให้การไว้รับฟังไม่ได้ ส่วนปัญหาว่าไม้ของโจทก์ที่นายเรือของจำเลยที่ 2 สั่งให้ทิ้งทะเลไปเป็นจำนวนเท่าใดนั้น….เชื่อได้ว่า ไม้ขาดจำนวนไปตามที่โจทก์นำสืบซึ่งศาลล่างทั้งสองคำนวณราคาเป็นเงิน 454,096 บาท 98 สตางค์ ตรงกันกับจำนวนที่โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย ล.5 ดังนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 454,096 บาท 98 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว ส่วนค่าภาษีศุลกากรที่โจทก์ชำระแก่กรมศุลกากรเกินจำนวนไม้ไปเป็นเงิน 36,126 บาท 63 สตางค์ ซึ่งศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ด้วยนั้นเป็นจำนวนเงินที่โจทก์มิได้ขอให้จำเลยชดใช้ จึงบังคับให้จำเลยชดใช้มิได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 454,096 บาท 98 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับถึงวันฟ้องเป็นเวลา11 เดือนและนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวเสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ที่2 ที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาเป็นเงิน 5,000 บาทแทนโจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’