แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติ ญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ไม่ได้บัญญัติให้กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องควบคุมอาคารแต่อย่างใดแต่เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ทั้งจำเลยที่ 1 มิได้มีคำสั่งรื้ออาคารของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระยะร่นโดยรอบอาคาร ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2521 ออกโดยอาศัยประกาศที่ชอบด้วยกฎหมาย และใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 โดยมิได้ถูกยกเลิกและขัดแย้งกับพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ ด้วย ประกาศดังกล่าวจึงใช้บังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มาตรา 79พระราชบัญญัติ ญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และประกาศกรุงเทพมหานครเรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระยะร่นโดยรอบอาคารเป็นกฎหมายพิเศษที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครองประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนอาคารที่สร้างผิดแบบแปลนได้เสมอตราบเท่าที่อาคารซึ่งฝ่าฝืนกฎหมายยังคงอยู่ โจทก์ก่อสร้างอาคารผิดแบบแปลน เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างอาคาร วันที่ 25 มิถุนายน 2518 และสั่งให้รื้อถอนเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2529 แต่โจทก์ได้จดทะเบียนอาคารเป็นอาคารชุดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2529 และจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2529 การจดทะเบียนเกิดขึ้นหลังจากที่โจทก์ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นแล้ว เป็นการหลีกเลี่ยงการรับผิดชอบตามคำสั่งดังกล่าว โจทก์มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นจะอ้างกฎหมายอาคารชุดคุ้มครองความรับผิดของโจทก์หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยเป็นส่วนราชการ สังกัดกระทรวงมหาดไทย และเป็นราชการส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นในเขตกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 3 ขณะเกิดเหตุเป็นผู้อำนวยการเขตยานนาวา ปฏิบัติราชการแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นสำหรับเขตยานนาวา จำเลยที่ 4 เป็นประธานกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จำเลยที่ 5 ถึงที่ 11 เป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารบนที่ดินโฉนดเลขที่ 5028 ตำบลทุ่งมหาเมฆอำเภอยานนาวา กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 989.5 ตารางวาและโจทก์ได้ทำการก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม2527 ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2528 จำเลยที่ 3 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ระงับการก่อสร้าง โดยอ้างว่าโจทก์ได้ทำการก่อสร้างดัดแปลงอาคารไม่ตรงตามแบบที่ได้รับอนุญาต ครั้นวันที่ 16 สิงหาคม2528 จำเลยที่ 3 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ยื่นคำขอรับใบอนุญาตแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารโดยอ้างว่าโจทก์ได้ทำการก่อสร้างชั้นที่ 5ที่ 6 และที่ 7 ให้มีระยะร่นไม่ตรงตามแบบที่ได้รับอนุญาต โจทก์จึงได้ขอผ่อนผันต่อจำเลยที่ 3 เพื่อพยายามจัดซื้อที่ดินข้างเคียงในแนวเขตแต่ละด้านขยายไป ซึ่งจะทำให้มีระยะร่นของอาคารมีระยะพอตามกำหนด แต่โจทก์ไม่สามารถซื้อที่ดินข้างเคียงได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2529 จำเลยที่ 3 จึงมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคารชั้นที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 เฉพาะส่วนที่ผิดแบบภายใน 30 วันโจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 ในฐานะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ได้ทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์เมื่อวันที่9 ตุลาคม 2530 คำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 ถึง 11 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากการก่อสร้างอาคารชั้นที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 คลาดเคลื่อนไปจากแบบที่ได้รับอนุญาตโดยมีระยะร่นผิดไปบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยไม่รุกล้ำที่ดินของผู้อื่น ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นและไม่มีสภาพอันน่ารังเกียจ ขอศาลพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 11ที่ให้โจทก์รื้อถอนอาคารตามฟ้องและให้โจทก์มีสิทธิไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าว
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การร่วมกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ปฏิบัติราชการแทนในฐานะเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 คำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 ชอบด้วยกฎหมายและมีผลบังคับได้ โจทก์จงใจก่อสร้างอาคารชั้นที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ให้เกินไปจากแบบและขัดต่อข้อบัญญัติโดยไม่มีระยะร่นให้ถูกต้องตามประกาศกรุงเทพมหานครที่ออกตามเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพ และพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 หาใช่เป็นการผิดระเบียบไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 5 ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 5 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาทสูง 22 ชั้น เพื่อใช้เป็นสำนักงาน โจทก์ก่อสร้างอาคารชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 7 ผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต โดยเพิ่มเนื้อที่ของพื้นให้กว้างออกไปจากเดิม คิดเป็นเนื้อที่รวม 1,476.57 ตารางเมตร เป็นเหตุให้ระยะร่นโดยรอบอาคารชั้นที่ 5 ถึงที่ 7 ห่างจากแนวเขตที่ดินน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 3 ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างและให้โจทก์แก้ไขแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยที่ 2 จึงได้มีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคารชั้นที่ 5 ถึงที่ 7 ในส่วนที่ผิดแบบแปลน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์หลายประการดังต่อไปนี้
ในปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล และตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522ไม่ได้บัญญัติให้จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องควบคุมการก่อสร้างดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย และใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารแต่อย่างใด การออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ผู้ใดก่อสร้างอาคารดัดแปลงอาคาร รื้อถอนอาคาร หรือเคลื่อนย้ายอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 22, 23 และ 24 เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา 4พระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ให้หมายความว่า ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร การที่จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ปฏิบัติการแทนจำเลยที่ 2 มีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคาร จึงเห็นได้ว่าคำสั่งดังกล่าวมิใช่คำสั่งของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมิใช่ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาที่ว่า ประกาศกรุงเทพมหานครที่วางข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะร่นตามเอกสารหมาย ล.3 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระยะร่นโดยรอบอาคารลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2521 ออกโดยอาศัยประกาศที่ชอบด้วยกฎหมายและประกาศใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522ประกาศดังกล่าวมิได้ถูกยกเลิกและมิได้ขัดแย้งกับพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แต่อย่างใด ประกาศดังกล่าวจึงใช้บังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522มาตรา 79
ในปัญหาที่ว่า อาคารพิพาทชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 7 ที่ผิดแบบมีพื้นที่คลาดเคลื่อนไม่ถึงร้อยละห้า อยู่ในหลักเกณฑ์การผ่อนผันตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2528 โจทก์ไม่ต้องรื้อถอนนั้น เห็นว่ากฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการกำหนดเกี่ยวกับโครงสร้างของอาคารส่วนข้อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระยะร่นโดยรอบอาคาร เป็นเรื่องป้องกันมิให้มีการปลูกสร้างอาคารใกล้ชิดกันมากเกินไปจนเกิดความแออัด ทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ บดบังแสงแดดและลม อันเป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ความปลอดภัย กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2528)และประกาศดังกล่าวมีเจตนาและวัตถุประสงค์ต่างกันจึงนำกฎกระทรวงดังกล่าวมาใช้บังคับเกี่ยวกับระยะร่นโดยรอบอาคารไม่ได้
ในปัญหาที่ว่าโจทก์ไม่ได้มีเจตนาฝ่าฝืน ไม่ได้หลีกเลี่ยงและขัดคำสั่งของเจ้าพนักงาน จำเลยไม่ควรสั่งรื้อนั้น เห็นว่า การก่อสร้างอาคารชั้นที่ 5 ถึงที่ 7 ผิดแบบแปลน โดยสร้างยื่นออกไปโจทก์ย่อมจะต้องคำนวณการรับน้ำหนักพื้นที่เพิ่มเติม เป็นการแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ที่จะกระทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้งและพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และประกาศกรุงเทพมหานครเรื่องกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระยะร่นโดยรอบอาคาร เป็นกฎหมายพิเศษที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครองประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนได้เสมอตราบเท่าที่อาคารซึ่งฝ่าฝืนกฎหมายยังคงอยู่
ในปัญหาที่ว่าอาคารพิพาทไม่ควรต้องรื้อถอนเพราะเป็นอาคารชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และเมื่อมีการรื้อถอนจะทำให้อาคารขาดความมั่นคงนั้น เห็นว่า ในเรื่องจดทะเบียนอาคารชุดได้ความว่าโจทก์จดทะเบียนอาคารพิพาทเป็นอาคารชุดเมื่อวันที่ 11มีนาคม 2529 และจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม2529 แต่เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2528 และสั่งให้รื้อถอนอาคารพิพาทเมื่อวันที่21 มิถุนายน 2529 การจดทะเบียนอาคารชุดดังกล่าวจึงกระทำขึ้นหลังจากที่โจทก์ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นแล้ว การกระทำของโจทก์เป็นการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น โจทก์ผู้ก่อสร้างอาคารผิดแบบแปลนจึงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น จะอ้างกฎหมายอาคารชุดมาคุ้มครองความรับผิดชอบของโจทก์หาได้ไม่ ส่วนการรื้อถอนอาคารพิพาทชั้นที่ 5 ถึงที่ 7 จะทำให้อาคารพิพาทไม่แข็งแรงและจะเกิดพังทลายนั้น ได้ความจากนายเกียรติศักดิ์ อาขุบุตร พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า การรื้อถอนอาคารพิพาทชั้นที่ 5 ถึงที่ 7 บางส่วนแม้จะทำความยากลำบากก็สามารถทำได้โดยไม่กระทบกระทั่งถึงตัวอาคารเห็นว่า นายเกียรติศักดิ์เป็นวิศวกรผู้ออกแบบโครงสร้างอาคารพิพาทและควบคุมการก่อสร้างอาคารพิพาท มีความรู้สำเร็จปริญญาตรีและโทสาขาวิศวกรรมโยธา เชื่อว่าการรื้อถอนอาคารพิพาทไม่ทำให้อาคารพิพาทได้รับความกระทบกระเทือนและจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่อาคารพิพาท…”
พิพากษายืน