คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193ทวิจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา194ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ไปที่ทำงานของโจทก์และด่าว่าโจทก์เนื่องจากพฤติการณ์ต่างๆระหว่างโจทก์กับสามีจำเลยทำให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับสามีจำเลยแต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีจำเลยจริงจึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาดังนั้นแม้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าโจทก์มิได้ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลยศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลยไม่ก่อให้จำเลยเกิดสิทธิที่จะเข้าไปกล่าวประจานโจทก์ในที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์เห็นได้ว่าจำเลยมุ่งประสงค์เพื่อให้โจทก์อับอายและทำลายชื่อเสียงของโจทก์ดังนั้นจำเลยจะยกเหตุเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฎิเสธความผิดไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กล่าววาจาดูหมิ่นและหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อนายสัมพันธ์ นายวีรชัย นางสาวนภาพร นางสาวอุรีย์และบุคคลอื่นอีกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม ด้วยข้อความว่า “อี – คนนี้ หน้าแย่งผัวฉัน เอาผัวฉันไปกกกอดนอนด้วยกัน”และข้อความว่า “ไปปลูกบ้านอยู่ด้วยกันไปกกกอดนอนกันที่โรงแรม”ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายว่าโจทก์ไม่มีความสัมพันธ์ทางประเวณีกับนายเชิดเกียรติ สามีของจำเลย โดยประการที่จะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 393
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีผล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 393 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ลงโทษปรับ 400 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลย 400 บาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1)ประกอบมาตรา 62 และไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393ประกอบมาตรา 68 ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 194 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ไปที่ทำงานของโจทก์และด่าว่าโจทก์เนื่องจากพฤติการณ์ต่าง ๆระหว่างโจทก์กับสามีจำเลยทำให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับสามีจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีจำเลยจริงจึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงไม่ชอบ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาดังนั้นแม้โจทก์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าวว่าโจทก์มิได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลย ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกล่าวหมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้าของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329, (1), 62 และ มาตรา 393, 68 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเพียงแต่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลยไม่ก่อให้จำเลยเกิดสิทธิที่จะเข้าไปกล่าวประจานโจทก์ในที่ทำงานของโจทก์ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์ซึ่งหน้าเห็นได้ว่าจำเลยมุ่งประสงค์เพื่อให้โจทก์อับอายและทำลายชื่อเสียงของโจทก์ จำเลยจะยกเหตุเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฎิเสธความผิดไม่ได้
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share