คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 871/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกล่าวดูหมิ่นผู้ตายต่อหน้าบุคคลอื่นขึ้นก่อนว่าลักวัวและห้ามมิให้จำเลยลักวัวพวกจำเลยอีกการที่ผู้ตายกล่าวโต้ตอบเพื่อแก้หน้าขึ้นบ้างว่า ‘มึงห้ามกูก็ไม่ฟังแต่น้องสาวมึง กูก็จะเย็ดอยู่’ จึงเป็นการโต้ตอบเพื่อล้างความอาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยซึ่งมีน้องสาว โกรธขึ้นมา จึงฟันผู้ตาย จึงไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1277/2497)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ขวานฟันนายล้วน แก้วคราม 1 ที โดยเจตนาฆ่า นายล้วนถึงแก่กรรมในวันเกิดเหตุนั้นเอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยฟันผู้ตายโดยบันดาลโทสะ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 72 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุก 2 ปี

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดของจำเลยไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก15 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 10 ปี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายเคยลักวัวของพี่ชายจำเลยไป 1 ตัว แต่ได้นำมาคืนและชดใช้เงินให้ ต่อมา 5-6 เดือน คือวันเกิดเหตุผู้ตาย จำเลย และพวกชาวบ้านหลายคนกลับจากไปช่วยนายก้อยทำไร่ ได้มานั่งคุยกันบนแคร่หน้าบ้านนายก้อย ขณะที่คุยกัน จำเลยถามผู้ตายว่าลักวัวไปจริงไหม ผู้ตายว่า “ใช่ ลักวัวสู จะมีอะไร” จำเลยว่า “ทีหลังอย่าลักวัวพวกข้า” ผู้ตายก็ว่า “มึงห้ามกูก็ไม่ฟังแต่น้องสาวมึงกูก็จะเย็ดอยู่” จำเลยมีน้องสาว โกรธขึ้นมา จึงใช้ขวานฟันผู้ตาย 1 ที ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยได้กล่าวดูหมิ่นผู้ตายขึ้นก่อนว่าลักวัว ต่อหน้าบุคคลอื่น ๆ หลายคนลักษณะเป็นการประจานผู้ตายและทำให้ผู้ตายได้รับความอับอายโดยไม่มีความชอบธรรมที่จะกล่าวเช่นนั้น เนื่องจากวัวที่ถูกลักไม่ใช่ของจำเลย และเจ้าของวัวที่แท้จริงก็ได้วัวคืนกับได้ค่าเสียหายจากผู้ตายอีก 400 บาท ด้วย ฉะนั้น การที่ผู้ตายกล่าวโต้ตอบเพื่อแก้หน้าขึ้นบ้างว่า “แต่น้องสาวมึงกูก็จะเย็ดอยู่” จึงเป็นการโต้ตอบเพื่อล้างความอาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ความผิดของจำเลยจึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1277/2497

พิพากษายืน

Share