แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มอบหมายให้ ส. นำเงินของโจทก์ไปประกันตัว ก. ต่อศาลชั้นต้น จำเลยรับเงินจาก ส. ไปดำเนินการ เมื่อคดีถึงที่สุดศาลชั้นต้นสั่งคืนเงินประกันโดยสั่งจ่ายเช็คธนาคาร อ. ระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับเงิน จำเลยย่อมอยู่ในฐานะผู้ทรงในฐานเป็นผู้รับเงินที่พึงจะยื่นเช็คเพื่อให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คแก่ตนเท่านั้น เงินที่ธนาคารพึงใช้ให้แก่จำเลยตามเช็คจึงไม่ใช่เงินหรือทรัพย์สินที่จำเลยได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องส่งให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการตาม ป.พ.พ. มาตรา 810 โดยตรง หากจำเลยไม่ชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ ก็เป็นเรื่องที่โจทก์มีสิทธิจะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของจำเลย รวมทั้งเงินหรือทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่จำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 214 โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยเบิกถอนเงินจากธนาคารตามเช็คเพื่อมอบให้แก่โจทก์ รวมทั้งจะขอให้บังคับธนาคารซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีใช้เงินตามเช็คดังกล่าวแก่โจทก์ไม่ได้
คำฟ้องของโจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยเบิกถอนเงินตามเช็คจำนวน 70,000 บาท ชำระแก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นเงิน แม้ไม่อาจบังคับให้จำเลยกระทำการตามฟ้อง ศาลก็พิพากษาให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยเบิกเงินตามเช็คธนาคารออมสิน สาขาตราด เลขที่ 3606919 จำนวนเงิน 70,000 บาท ของศาลชั้นต้น ให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่มาให้สั่งธนาคารตามเช็คจ่ายเงินจำนวน 70,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 1 กันยายน 2548) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 โจทก์มอบหมายให้นางสาวสิรานีนำเงิน 120,000 บาท ของโจทก์ไปประกันตัวนางสาวกันยารัตน์ต่อศาลชั้นต้น ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 495/2548 และหมายเลขดำที่ 391/2548 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐานบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ และกระทำผิดฐานขับรถในขณะเมาสุรา ตามลำดับ จำเลยตกลงรับดำเนินการประกันตัวนางสาวกันยารัตน์ต่อศาลชั้นต้นโดยได้รับเงิน 120,000 บาท จากนางสาวสิรานี และนางสาวกันยารัตน์ก็ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจากศาลชั้นต้น ต่อมาโจทก์จึงทราบว่า หลักประกันที่จำเลยใช้ในการประกันตัวนางสาวกันยารัตน์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 495/2548 เป็นเงินสดเพียง 70,000 บาท ส่วนคดีหมายเลขดำที่ 391/2548 ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ประกัน เมื่อคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดศาลชั้นต้นคืนหลักประกันให้แก่จำเลยโดยสั่งจ่ายเช็ค ระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับเงิน จำนวน 70,000 บาท จำเลยได้มอบเช็คดังกล่าวแก่โจทก์ สำหรับเงินจำนวน 50,000 บาท ที่จำเลยเอาไปนั้น คดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว คงมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า โจทก์มีสิทธิบังคับจำเลยให้มาถอนเงินจากธนาคารตามเช็คจำนวน 70,000 บาท แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เช็คที่ศาลชั้นต้นสั่งจ่ายให้แก่จำเลยในฐานะนายประกันเป็นเช็คระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับเงิน จำเลยย่อมอยู่ในฐานะผู้ทรงในฐานเป็นผู้รับเงินที่พึงจะยื่นเช็คเพื่อให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คแก่ตนเท่านั้น เงินที่ธนาคารพึงใช้ให้แก่จำเลยตามเช็คจึงมิใช่เงินหรือทรัพย์สินที่จำเลยได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องส่งให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 โดยตรง เมื่อหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์เป็นหนี้เงิน หากจำเลยไม่ชำระ ก็เป็นเรื่องที่โจทก์มีสิทธิจะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ รวมทั้งเงินหรือทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยเบิกถอนเงินจากธนาคารตามเช็คเพื่อมอบให้แก่โจทก์ รวมทั้งจะขอให้บังคับธนาคารตามเช็คซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีใช้เงินตามเช็คที่ระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับเงินให้แก่โจทก์ก็ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อตามคำฟ้องและอุทธรณ์ของโจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยมาเบิกถอนเงินจำนวน 70,000 บาท ชำระแก่โจทก์ จึงถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นเงินอีกจำนวนหนึ่ง แม้โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยกระทำการตามฟ้องอันเป็นเพียงวิธีการบังคับชำระหนี้เป็นตัวเงิน แต่เมื่อมีหนี้เงินดังกล่าวซึ่งจำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย ทั้งโจทก์ได้ชำระค่าธรรมเนียมศาลทั้งในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์สำหรับคำขอในส่วนนี้มาอย่างคดีมีทุนทรัพย์โดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระอีกจำนวน 70,000 บาท แก่โจทก์เมื่อรวมกับที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 120,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.