คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 938/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้รับซื้อฝากเฉพาะสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริต และจดทะเบียนที่อำเภอโดยชอบก่อน ทั้งได้รื้อไปแล้ว เพราะผู้ขายฝากมิได้ไถ่คืน ย่อมมีสิทธิในทรัพย์สิ่งปลูกสร้างดีกว่าผู้รับซื้อฝากที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างซึ่งรับซื้อฝากไว้ภายหลังโดยสุจริตและจดทะเบียนที่หอทะเบียนโดยชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ธ.ค.๙๕ โจทก์รับซื้อฝากที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างในโฉนด๓๖๙๐ ไว้จากนางสุจิตราเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท โดยเสียค่าตอบแทนสุจริตและจดทะเบียนสิทธิการซื้อขายฝากต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หอทะเบียนแล้ว ในโฉนดมิได้จดแจ้งภาระติดพันหรือสิทธิเหนือพื้นดิน นางสุจิตราได้มอบที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ และไม่ไถ่ถอนการขายฝากคืนตามกำหนด ที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อ ๑๗-๑๘ ก.ค.+จำเลยกับพวกมารื้อเอาสิ่งปลูกสร้างไปหลายอย่างเป็นเงิน ๑๔,๓๒๗ บาท ขอให้แสดงว่าสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยรื้อไปเป็นของโจทก์ ให้จำเลยนำมาปลูกไว้ตามเดิมหรือใช้ราคา
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยฟ้องนายประสงค์และนางสุจิตราเป็นจำเลยต่อศาลแพ่งในฐานะที่เอาเรือนและสิ่งปลูกสร้างขายฝากจำเลยไว้ ศาลแพ่งพิพากษาให้ชนะคดี จึงขอให้ศาลบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยจึงทราบความจริง เรือนและสิ่งปลูกสร้างนายประสงค์และนางสุจิตราขายฝากภริยาจำเลยไว้เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ เป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาทครบกำหนดไถ่ ๑ ปี ขอผัดผ่อน ขอเพิ่มเงินและทำสัญญาขายฝากใหม่กำหนด ๒ ปี ครบกำหนดวันที่+ส.ค.๙๗ ไม่ไถ่ และได้ทำกันที่อำเภอถูกต้องตามกฎหมายทั้ง ๒ คราว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยได้รื้อเอาสิ่งปลูกสร้างบางส่วนไป เป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษา
ก่อนสืบพยาน โจทก์จำเลยรับกันว่า เมื่อ ๒ มี.ค.๙๔ นายประสงค์ นางสุจิตราขายฝากบ้านเลขที่ ๔๙๙ ไว้กับจำเลย กำหนดไถ่คืน ๑ ปี ต่อมา ๔ ส.ค.๙๕ ได้นำบ้านดังกล่าวและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดมาขายฝากจำเลยไว้อีก ทำสัญญาขายฝากกันที่อำเภอ กำหนดไถ่ใน ๒ ปี แต่ก็ไม่ได้ไถ่ จำเลยรับว่าโจทก์ได้รับซื้อฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง กำหนดไถ่ ๑ ปี ทำสัญญาขายฝากที่หอทะเบียนที่ดิน ครบกำหนดไม่ไถ่คืน และคู่ความรับกันว่าสัญญาของแต่ละฝ่ายเป็นไปโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่รื้อไปเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร
ศาลแพ่งสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยได้จดทะเบียนซื้อฝากไว้ก่อน จึงมีสิทธิดีกว่า ทรัพย์พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืนโดยวินิจฉัยว่า คดีนี้มิได้พิพาทกันถึงสิทธิเหนือพื้นดิน และทรัพย์พิพาทได้รื้อไปแล้ว จึงไม่ตรงกับคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๔/๒๔๙๙ ฉะนั้นการที่จำเลยได้รับซื้อฝากโดยทำสัญญากันที่อำเภอเป็นการชอบด้วยกฎหมาย กรรมสิทธิในทรัพย์พิพาทจึงตกไปยังจำเลยตาม ป.พ.พ.มาตรา ๔๙๑ โจทก์ผู้ได้รับซื้อฝากไว้ภายหลังจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท

Share