คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9375/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่6และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินแม้โฉนดที่ดินฉบับเจ้าของที่ดินที่โจทก์รับมาจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่7เป็นโฉนดที่ดินปลอมแต่โฉนดที่ดินฉบับหลวงก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเช่นนี้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงย่อมเป็นของโจทก์ตามกฎหมายการที่มีบุคคลอื่นซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงอ้างว่าเป็นตัวโจทก์โดยใช้บัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านที่ระบุว่าเป็นของโจทก์ปลอมกับหนังสือให้ความยินยอมที่ระบุว่าเป็นของภริยาโจทก์ปลอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่1แม้จะได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตามแต่เมื่อบุคคลดังกล่าวไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธิที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นได้จำเลยที่1ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยที่1ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมไม่มีสิทธิใดๆในการที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นเช่นเดียวกันดังนั้นแม้จำเลยที่4และที่5ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่1โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งได้แก้ชื่อในสารบัญจดทะเบียนของโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นชื่อของจำเลยที่4และที่5ก็ตามจำเลยที่4และที่5ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่เพราะเมื่อผู้โอนไม่มีสิทธิที่จะโอนให้แก่ผู้รับโอนผู้รับโอนจะได้สิทธิซึ่งไม่มีอยู่ไม่ได้ คดีนี้เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้โจทก์จึงถูกโต้แย้งสิทธิอยู่ตลอดเวลาที่ทรัพย์สินของตนยังอยู่ในความครอบครองของบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้เสมอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดถึงสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินว่ามีสิทธิอย่างใดบ้างที่กฎหมายให้ความคุ้มครองอันเป็นอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นทรัพย์สิทธิอย่างหนึ่งหาใช่การบังคับตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหน้าที่จะต้องใช้ภายในกำหนดอายุความดังที่บัญญัติไว้ในบรรพ1ลักษณะ6แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สินจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา193/9และ193/30 ข้อที่จำเลยที่4และที่5ฎีกาว่าจำเลยที่4และที่5ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382นั้นจำเลยที่4และที่5ไม่ได้ให้การสู้คดีไว้แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหานี้ให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินจำเลยที่7ได้กระทำไปเนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่7ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์และแม้ว่ามูลละเมิดจะขาดอายุความแล้วโจทก์ก็มีสิทธิขอให้จำเลยที่7ดำเนินการแก้ไขโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้ถูกต้องเพื่อแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นการเรียกทรัพย์คืนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2506 ก่อนที่จำเลยที่ 6 จะได้จดทะเบียนก่อตั้งสมาคมเช่นในปัจจุบัน นายศักดิ์ ไทยวัฒน์ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดินในขณะนั้น ได้จัดตั้งคณะบุคคลขึ้นเป็นผู้เริ่มก่อการ ใช้ชื่อว่า “โครงการสโมสรกรุงเทพฯ กรีฑา”ผู้เช่าเป็นสมาชิกจะต้องเสียเงินค่าหุ้น หุ้นละ 40,000 บาทและจะได้รับที่ดินเป็นการตอบแทนหุ้นละ 1 ไร่ โจทก์ได้เข้าหุ้นเป็นสมาชิก 3 หุ้น นายศักดิ์ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2652 แล้วโอนให้แก่สมาชิกโจทก์จึงได้รับการยกให้ที่ดินรวม 3 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่73784, 73785 และ 73786 ตำบลสวนหลวง (คลองประเวศฝั่งเหนือ)อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2514โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ในระหว่างวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2514 ถึงวันที่29 กุมภาพันธ์ 2523 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 2 และที่ 3ได้ร่วมกับผู้มีชื่อสมคบกันทำปลอมขึ้นทั้งฉบับซึ่งหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดรวม 3 แปลง ฉบับสำหรับสำนักงานที่ดินพระนครโดยระบุอายุในช่องอายุโจทก์ปลอม จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อปลอมในช่อง “ผู้ให้” จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อปลอมและประทับตามปลอมในช่อง “เจ้าพนักงานที่ดิน” และผู้มีชื่อลงลายมือชื่อของโจทก์ปลอมในช่อง “ผู้รับให้” แล้วนำไปใส่ไว้ในสารบบจดทะเบียนแทนฉบับที่แท้จริง หลังจากนั้นผู้มีชื่อได้แสดงตนเป็นตัวโจทก์นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนปลอม สำเนาทะเบียนบ้านปลอมหนังสือยินยอมคู่สมรสปลอม และลงลายมือชื่อปลอม โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 73784 และ 73785 ของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1ไปเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2523 โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าผู้มีชื่อนั้นไม่ใช่ตัวโจทก์ มีนายมะน้อม บุญกระโทกเจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 7 เป็นผู้ดำเนินการทำหนังสือสัญญาขายที่ดินและจดทะเบียนให้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินทั้งสองแปลงไปจำนองไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ต่อมาเมื่อวันที่17 กรกฎาคม 2528 จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายที่ดินทั้งสองแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 4 และที่ 5 เมื่อวันที่ 19มิถุนายน 2533 โจทก์ได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 73784 และ 73785 ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน จึงทราบจากเจ้าพนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับดังกล่าวที่โจทก์เก็บไว้เป็นโฉนดที่ดินปลอม และปัจจุบันในสารบัญจดทะเบียนของโฉนดที่ดินฉบับหลวงทั้งสองฉบับได้มีการจดทะเบียนโอนขายต่อไปยังจำเลยที่ 4 และที่ 5 แล้วการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และผู้มีชื่อเป็นการละเมิดต่อโจทก์นิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างผู้มีชื่อกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 4และที่ 5 ไม่ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนที่ดินทั้งสองแปลงจากจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ จำเลยที่ 6ในฐานะนายจ้างตัวการได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างตัวแทนดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโอนให้แก่โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 2 กระทำขึ้นด้วยนอกจากนี้จำเลยที่ 6 ยังต้องมีหน้าที่ดูแลคุ้มครองสิทธิของสมาชิกรวมทั้งการบริการและดูแลที่ดินของสมาชิก แต่จำเลยที่ 6 ละเลยหน้าที่ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบหรือสอบถามโจทก์ถึงการจำหน่ายจ่ายโอนไปซึ่งที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 6 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์อีกฐานะหนึ่งด้วยการที่นายมะน้อมเจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 7 ดำเนินการทำหนังสือสัญญาขายที่ดินและจดทะเบียนโอนขายที่ดินระหว่างผู้มีชื่อกับจำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่ผู้มีชื่อได้แสดงตนปลอมตัวเป็นโจทก์และอ้างเอกสารปลอมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวัง เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และการที่จำเลยที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าวมาแล้ว จำเลยที่ 7 ในฐานะผู้ปกครองบังคับบัญชาและรับผิดชอบในการปฏิบัติงานของนายมะน้อมและจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในความเสียหายที่นายมะน้อมและจำเลยที่ 3 ได้ก่อขึ้นต่อโจทก์ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันและแทนกันแก้ไขเพิกถอนสารบัญการจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 73784 และ 73785 ตำบลสวนหลวง (คลองประเวศฝั่งเหนือ)อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังเดิม และให้จำเลยที่ 7 ดำเนินการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 73784และ 73785 ดังกล่าวใหม่ให้ถูกต้อง หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา และหากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันและแทนกันชดใช้ราคาค่าที่ดินให้โจทก์เป็นเงิน 28,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยปลอมเอกสารใด ๆสัญญาให้ที่ดินและโฉนดที่ดินที่โจทก์อ้างมาท้ายฟ้องไม่ใช่เอกสารฉบับที่จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมโอนให้ที่ดินแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อ้างว่ามีการกระทำละเมิด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่ตรงตามความจริงเพราะปัจจุบันที่ดินของโจทก์มีราคาเพียงตารางวาละ 4,000 บาทจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวทวงถามใด ๆ จากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และผู้มีชื่อปลอมหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดรวม 3 แปลงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 จำเลยที่ 3 จดทะเบียนการยกให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์ไปตามหน้าที่โดยลงลายมือชื่อและประทับตราที่แท้จริงในหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดรวม 3 แปลง เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารปลอมทั้งฉบับ และจำเลยที่ 3 มิได้กระทำการหรือร่วมกับผู้อื่นกระทำการปลอมในช่องอายุและช่องลายมือชื่อผู้รับให้ในหนังสือสัญญาให้ที่ดินมีโฉนดรวม 3 แปลงแต่อย่างใด เมื่อจดทะเบียนเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 7ได้มอบสัญญาให้ที่ดินให้โจทก์ไป 1 ฉบับ ส่วนอีก 3 ฉบับ แยกเก็บไว้ในสารบบจดทะเบียนเป็นรายโฉนดหลังจากนั้นในปี 2519 จำเลยที่ 3ได้ย้ายไปรับราชการที่อื่น มิได้เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนที่ดินของสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนงอีกเลยส่วนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินระหว่างผู้ที่อ้างตัวเป็นโจทก์กับจำเลยที่ 1 ก่อนที่นายมะน้อม บุญกระโทก จะจดทะเบียนให้เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยที่ 7 ได้ทำการสอบสวนและตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ครบถ้วนถูกต้องตามระเบียบของทางราชการแล้วเห็นว่าผู้ขายเป็นโจทก์ จึงรับดำเนินการจดทะเบียนให้โดยไม่ได้ประมาทเลินเล่อ เมื่อจำเลยที่ 3 มิได้ปลอมหนังสือสัญญาให้ที่ดิน และนายมะน้อมมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 7ในฐานะนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากฟังได้ว่าจำเลยที่ 3กระทำการปลอมหนังสือสัญญาให้ที่ดินจำเลยที่ 7 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะเป็นการกระทำส่วนตัวของจำเลยที่ 3 ค่าเสียหายไม่ควรเกิน 1,200,000 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันทำละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า โจทก์ได้ที่ดินโฉนดเลขที่73784 และ 73785 มาโดยไม่ชอบ เพราะเป็นโฉนดที่ดินปลอมไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ ตามกฎหมาย และจะยกขึ้นยันจำเลยที่ 4และที่ 5 ซึ่งได้ที่ดินดังกล่าวมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วไม่ได้โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ จึงเป็นห้องที่เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 6 ให้การว่า จำเลยที่ 6 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 6 ได้แบ่งแยกที่ดินและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 3 แปลง ให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้วตามสัญญาการเข้าเป็นสมาชิกจำเลยที่ 6 ไม่มีวัตถุประสงค์ในการดูแลคุ้มครองสิทธิของสมาชิกและไม่มีหน้าที่ใด ๆ ในการดูแลรักษาที่ดินของโจทก์จำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเกินกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3กระทำละเมิด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเป็นราคาที่ดินไม่ควรเกิน4,800,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดฟังคำพิพากษาโจทก์แถลงว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน2532 ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ตามสำเนาราชกิจจานุเบกษาฉบับลงวันที่19 ธันวาคม 2532
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ร่วมกันแก้ไขเพิกถอนสารบัญการจดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 73784 และ 73785ตำบลสวนหลวง (คลองประเวศฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนงจังหวัดพระนครให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังเดิม หากจำเลยที่ 4 ที่ 5และที่ 7 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7คำขอนอกนั้นให้ยก
จำเลย ที่ 4 ที่ 5 และ ที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 4 ที่ 5 และ ที่ 7 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 4 และที่ 5นั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วยการรับโอนมาโดยนิติกรรมซึ่งได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามเอกสารหมาย จ.24 และโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย ล.27 และล.28 เป็นฉบับที่แท้จริง จำเลยที่ 4 และที่ 5 รับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก และมาตรา 1299วรรคแรก จำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ส่วนโจทก์ที่ได้รับโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2มาเป็นโฉนดที่ดินปลอมย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงและไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 6 และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.5แม้โฉนดที่ดินฉบับเจ้าของที่ดินตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมายจ.1 และ จ.2 ที่โจทก์รับมาจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7เป็นโฉนดที่ดินปลอม แต่โฉนดที่ดินฉบับหลวงตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.15 และ จ.16 ก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเช่นนี้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงย่อมเป็นของโจทก์ตามกฎหมาย การที่มีบุคคลอื่นซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงอ้างว่าเป็นตัวโจทก์โดยใช้บัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านที่ระบุว่าเป็นของโจทก์ปลอม กับหนังสือให้ความยินยอมที่ระบุว่าเป็นของภริยาโจทก์ปลอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 แม้จะได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตามแต่เมื่อบุคคลดังกล่าวไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงไม่มีสิทธิที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นได้ จำเลยที่ 1ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ก็ย่อมไม่มีสิทธิใด ๆ ในการที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นเช่นเดียวกัน ดังนั้นแม้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งได้แก้ชื่อในสารบัญจดทะเบียนของโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นชื่อของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ก็ตามจำเลยที่ 4 และที่ 5ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่ เพราะเมื่อผู้โอนไม่มีสิทธิที่จะโอนให้แก่ผู้รับโอน ผู้รับโอนจะได้สิทธิซึ่งไม่มีอยู่ไม่ได้
ข้อที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยมูลละเมิดและเรียกทรัพย์คืน จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 และ 193/30เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 10 ปี จึงขาดอายุความนั้น ในเรื่องมูลละเมิดศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า คดีโจทก์ขาดอายุความจึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก แต่ในเรื่องเรียกทรัพย์คืน ในคดีนี้เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ โจทก์จึงถูกโต้แย้งสิทธิอยู่ตลอดเวลาที่ทรัพย์สินของตนยังอยู่ในความครอบครองของบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดไว้ได้เสมอ ไม่อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความที่จำเลยที่ 4และ 5 อ้างว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 บัญญัติว่า”ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอบและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย” การเรียกทรัพย์คืนจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 193/9 และ 193/10 นั้น เห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 1336 ดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่กำหนดถึงสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินว่ามีสิทธิอย่างใดบ้าง ที่กฎหมายให้ความคุ้มครองอันเป็นอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นทรัพย์สิทธิอย่างหนึ่ง หาใช่การบังคับตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหน้าที่จะต้องใช้ภายในกำหนดอายุความดังที่บัญญัติไว้ในบรรพ 1 ลักษณะ 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สินจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 193/9และ 193/30 ดังที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 อ้าง
ข้อที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น จำเลยที่ 4และที่ 5 ไม่ได้ให้การสู้คดีไว้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหานี้ให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยที่ 7 ฎีกาว่า นายมะน้อม บุญกระโทก เจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ดำเนินการจดทะเบียนไปโดยมิได้ประมาทเลินเล่อจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ทั้งมูลคดีในเรื่องละเมิดขาดอายุความแล้ว จำเลยที่ 7 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7 ได้ร่วมกันวางแผนมาตั้งแต่ต้นโดยออกโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2(ล.21 และ ล.22) ให้แก่โจทก์ส่วนโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.13 และล.14 เชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7 เก็บไว้ มิฉะนั้นการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อาจกระทำได้และทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินโดยระบุอายุโจทก์ไม่ตรงต่อความจริงกับปลอมลายมือชื่อโจทก์ในฐานะผู้รับให้ตามเอกสารหมาย ล.12เก็บไว้ในสารบบที่ดินพิพาทไว้ด้วยต่อมาก็นำบัตรประจำตัวประชาชนสำเนาทะเบียนบ้าน และหนังสือให้ความยินยอมของภริยาโจทก์ปลอมมาจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 โดยอ้างเอาเอกสารหมาย ล.12 เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวหากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7 ไม่ได้ร่วมกระทำด้วย บุคคลภายนอกโดยลำพังไม่มีทางที่จะกระทำได้เมื่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 7 ได้กระทำไปเนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 7 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์และแม้ว่ามูลละเมิดจะขาดอายุความแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 7 ดำเนินการแก้ไขโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้ถูกต้องเพื่อแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นการเรียกทรัพย์คืนได้
พิพากษายืน

Share