คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9373/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าซื้อและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถานเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบ เป็นฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 183 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ตามมาตรา 183 ทวิ วรรคสองถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับมอบอำนาจภายหลังได้ และคดีได้ความว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานหลักฐานนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญอำนาจฟ้องในคดี และต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจในวันเดียวกันกับวันที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า1 เดือน จำเลยทั้งสองมีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ดังนี้ ที่โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลในวันชี้สองสถานนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจและศาลล่างทั้งสองรับฟังต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมานั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่ง งวดใด ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องเบิกกล่าวก่อน ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นหลายงวดจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายประเสริฐ บุตรกะวีดำเนินคดีแทนโจทก์ นายประเสริฐมอบอำนาจช่วงให้นายดนัย เพ็ชรชนะ ดำเนินคดีแทน จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ ในราคา 337,536 บาท ตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เป็นงวด งวดละ 7,032 บาท ภายในวันที่ 15 ของแต่ละเดือน รวม 48 งวด จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ งวดที่ 14 คืองวดที่ 15 เมษายน 2534เป็นต้นมา สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันและจำเลยที่ 1 ต้องคืนรถที่เช่าซื้อแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่คืน โจทก์ติดตามรถที่เช่าซื้อกลับคืนมาได้เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2535 จำเลยที่ 1ครอบครองรถที่เช่าซื้อโดยมิชอบเป็นเวลา 12 เดือน ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการที่อาจนำรถที่ให้เช่าซื้อออกให้เช่าเป็นเงินเดือนละ 6,000 บาท รวมเป็นเงิน 72,000 บาทรถที่เช่าซื้อเสื่อมโทรมผิดปกติ เมื่อโจทก์นำออกขายจึงได้ราคาน้อยกว่าราคาค่าเช่าซื้อเป็นเงิน 72,119 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 144,119 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ได้รับเงินเกินไปจากราคาที่แท้จริงจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองครอบครองรถที่เช่าซื้อตามสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง คดีมีปัญหาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่า การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าซื้อและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพยานเอกสารในวันชี้สองสถานต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำเอาเอกสารดังกล่าวมาสืบภายหลังเพราะไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะมิได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวที่ได้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานไว้แล้วต่อศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถานเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 วรรคหนึ่งทวิ วรรคสอง ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจภายหลังได้และคดีได้ความว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานหลักฐานนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญเรื่องอำนาจฟ้องในคดี และต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจในวันเดียวกันกับวันที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานตามคำสั่งของศาลชั้นต้นคือวันที่ 3 ธันวาคม 2535ก่อนวันสืบพยานนัดแรกคือวันที่ 25 มกราคม 2536 เป็นเวลากว่า 1 เดือน จำเลยทั้งสองมีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ที่โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลในวันชี้สองสถานนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจ และศาลล่างทั้งสองรับฟังต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมานั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ข้อที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า สัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมายจ.5 ข้อ 10 ที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 10 ที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ฯลฯ เป็นสัญญาที่ขัดต่อบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574ข้อกำหนดของการสิ้นสุดของสัญญาโดยการขาดชำระค่างวดของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ยังมิได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถาม และมิได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาตามกฎหมาย จึงถือว่าสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.5 ยังไม่สิ้นสุดลงนั้น เห็นว่าข้อสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดซึ่งไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้จำเลยที่ 1 ก็เบิกความว่าได้ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลาหลายงวด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 10 แล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว
พิพากษายืน

Share