คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าโดยอ้างว่าจำเลยเช่าเพื่อการค้า และได้บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยรับว่าได้เช่าจากโจทก์ และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมออก อ้างความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ ดังนี้ จำเลยต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความว่าตนมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตาม ก.ม.พิเศษนั้น หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบก่อนไม่
ห้องเช่าตั้งอยู่ในย่านการค้าริมถนนใหญ่ ตรงกันข้ามกับตลาดสด ผู้เช่าใช้ที่เช่าเป็นร้านค้าเครื่องเขียน ตั้งชื่อร้านว่า “สมุทรการค้า” และห้องใกล้เคียงก็เป็นร้านค้าทั้งนั้น ผู้เช่าได้อยู่อาศัยในห้องเช่าเพื่อประกอบการค้า ดังนี้ ย่อมไม่เป็นเคหะตามความหมาย แห่งพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยเช่าเพื่อการค้า ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว
จำเลยต่อสู้ว่าได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในเรื่องหน้าที่นำสืบนั้น เมื่อจำเลยรับรองว่าโจทก์เป็นเจ้าของห้องพิพาท จำเลยเป็นผู้เช่าจากโจทก์ และได้รับการบอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออก โดยอ้างความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความว่าตนมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตาม ก.ม.พิเศษนั้น หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำสืบก่อนไม่
ศาลชั้นต้นสั่งชอบแล้ว
ส่วนปัญหาในเรื่องเคหะนั้น ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ห้องพิพาทตั้งอยู่ในย่านการค้าริมถนนใหญ่ ตรงกันข้ามกับตลาดสด จำเลยใช้เป็นที่เช่าเป็นร้านค้าเครื่องเขียน ตั้งชื่อร้านว่า “สมุทรการค้า” และห้องใกล้เคียงก็เป็นร้านค้าทั้งนั้นจำเลยได้อยู่อาศัยในห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าเท่านั้น ดังนี้ จึงไม่ใช่เคหะตามความหมายของ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ จำเลยย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง
จึงให้ยกฎีกาจำเลย โดยพิพากษายืน

Share