คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายเมาสุราถือมีดขึ้นไปบนเรือนองจำเลย ไปพูดกล่าวหาจำเลยต่าง ๆและพูดส่อแสดงว่าต้องการหาเรื่องชวนวิวาท และพร้อมกันนั้นผู้ตายขยับมีดจะลุกขึ้นประกอบกับผู้ตายมีนิสัยเกกมะเหรก ชอบเสพสุราและชวนวิวาทจึงทำให้เห็นได้ว่าผู้ตายขยับมีดลุกขึ้นจะทำร้ายจำเลยๆจึงใช้มีดฟันผู้ตายไป ดังนี้ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัว แต่เมื่อจำเลยฟันผู้ตายครั้งแรกถูกที่หน้าผาก ผู้ตายหงายหลังไปแล้วจำเลยยังฟันผู้ตายอีกถึง 4 ครั้ง เป็นแผลฉกรรจ์ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที เช่นนี้ ต้องถือว่า เป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยฆ่านายเติม บัวลอยตาย โดยเจตนา ขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๕๑ จำคุก ๑๒ ปี
โจทก์, จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ จึงพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๔๙, ๕๓ ให้จำคุก ๗ ปี ลดตามมาตรา ๕๙ อีกกึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๓ ปี ครึ่ง
โจทก์จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่า การที่ผู้ตายเมาสุราถือมีดขึ้นไปบนเรือนจำเลย พอไปถึงก็พูดกล่าวหาจำเลยต่าง ๆ ในที่สุดจะเอาเงินค่ากำไรขายเนื้อกระบือจากจำเลย ๆ ขอผัดก็ไม่ยอม คำพูดของผู้ตายส่อแสดงว่าต้องการหาเรื่องชวนวิวาท และพร้อมกันนั้นผู้ตายขยับมีดจะลุกขึ้นไปประกอบกัน ผู้ตายมีนิสสัยเกกมะเหรก ชอบเสพสุรา และชอบวิวาท จึงทำให้เห็นว่า ผู้ตายขยับมีดลุกขึ้นจะทำร้ายจำเลยจึงใช้มีดฟันผู้ตายไป การกระทำของจำเลยจึงฟังว่าเป็นการป้องกันตัวโดยถ้าจำเลยไม่ฟันผู้ตาย ก็อาจจะทำร้ายเอาก่อนได้ เพราะอยู่ในระยะใกล้กัน แต่ได้ความว่า เมื่อจำเลยผันผู้ตายครั้งแรกถูกที่หน้าผาก ผู้ตายหงายหลังไปแล้วจำเลยยังฟันผู้ตายอีกถึง ๔ ครั้ง เป็นแผลฉกรรจ์ จนผู้ตายถึงแก่ความตายในทันที เช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ
จึงพิพากษายืน

Share