คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9367/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการท้ากันนั้น โจทก์และจำเลยไม่ได้ตกลงให้จำเลยดื่มน้ำสาบานและรับศีลห้าด้วย การดื่มน้ำสาบานและรับศีลห้าจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคำท้า ส่วนการที่จำเลยต้องกล่าวคำสาบานให้โจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และผู้อำนวยการฯ ได้ยินด้วยนั้น เป็นเงื่อนไขส่วนหนึ่งของคำท้า เมื่อปรากฏว่าจำเลยกล่าวคำสาบานโดยผู้อำนวยการฯ ได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลยขณะอยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 1 เมตร เมื่อผู้อำนวยการฯ แจ้งให้โจทก์เข้าไปใกล้จำเลยเพื่อจะได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลย ฝ่ายโจทก์กลับปฏิเสธว่าต้องการให้จำเลยพูดเสียงดังเพื่อให้ได้ยินทั่วกัน ถือว่าโจทก์ประสงค์จะให้บุคคลทั่วไปได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลยด้วย ซึ่งมิใช่เป็นข้อตกลงอันเป็นส่วนหนึ่งของคำท้า และก็ไม่ได้กำหนดให้จำเลยกล่าวสาบานผ่านเครื่องขยายเสียง อันจะแปลเจตนาของคำท้าได้ว่าจำเลยต้องกล่าวคำสาบานให้บุคคลทั่วไปได้ยิน โจทก์ย่อมสามารถเข้าไปใกล้จำเลยได้ แต่ฝ่ายโจทก์กลับไม่เข้าไปใกล้เพื่อให้ได้ยินเสียงถ้อยคำสาบาน จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายเสียเปรียบกระทำการโดยไม่สุจริตจนเป็นเหตุให้เงื่อนไขที่ฝ่ายโจทก์ต้องได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลยด้วยนั้นไม่สำเร็จ ถือได้ว่าจำเลยสาบานตนตรงตามคำท้าครบถ้วน โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงิน 13,707,877 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 13,364,350 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันว่า หากจำเลยกล้าสาบานว่า ก่อนและขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้อง จำเลยได้ให้โจทก์ดูแบบแปลนห้องพิพาทตามฟ้องแล้ว และจำเลยได้เคยบอกโจทก์ว่าตึกที่จะซื้อสร้างโดยผิดกฎหมาย โจทก์ยอมแพ้คดี หากจำเลยไม่กล้าสาบาน จำเลยยอมแพ้คดี
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยได้สาบานตนตามคำท้าแล้ว โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดี พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยเสียก่อนว่า จำเลยสาบานตนตรงตามคำท้าหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันว่า หากจำเลยกล้าสาบานต่อหน้าพระสยามเทวาธิราชและศาลหลักเมืองว่า ก่อนและขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้อง จำเลยได้ให้โจทก์ดูแบบแปลนห้องพิพาทตามฟ้องแล้ว และจำเลยได้เคยบอกโจทก์ว่าตึกที่จะซื้อนั้นสร้างผิดกฎหมาย โจทก์ยอมแพ้คดี หากจำเลยไม่กล้าสาบาน จำเลยยอมแพ้คดี ในการสาบานโจทก์จะเป็นผู้ดำเนินการจัดพิธีการสาบาน ศาลชั้นต้นให้ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลชั้นต้น (ผู้อำนวยการฯ) เป็นเจ้าหน้าที่ศาลดูกระบวนการสาบาน ทั้งนี้ ถ้อยคำสาบานที่จำเลยจะสาบานนั้นจะต้องให้โจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์และผู้อำนวยการฯ ได้ยินด้วย ซึ่งในการดำเนินการสาบานได้ความจากรายงานของผู้อำนวยการฯ ว่า พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีให้จำเลยดื่มน้ำสาบานและรับศีลห้าจากพระสงฆ์ จำเลยไม่ดื่มน้ำสาบานและไม่พนมมือรับศีล ในการสาบานทางฝ่ายโจทก์จัดให้มีผู้นำสาบาน โดยให้จำเลยกล่าวตามผ่านเครื่องขยายเสียง โจทก์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหลังที่จำเลยยืนสาบาน โดยมีระยะห่างจากจุดที่จำเลยยืนประมาณ 6 เมตร ผู้รับมอบอำนาจโจทก์อยู่ในอาคารศาลหลักเมือง ซึ่งมีระยะห่างจากจุดที่จำเลยยืนประมาณ 16 ถึง 17 เมตร ผู้อำนวยการฯ อยู่ห่างจากจุดที่จำเลยยืนประมาณ 1 เมตร สามารถได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลย เมื่อผู้อำนวยการฯ ถอยหลังไปประมาณ 1.50 เมตร แต่ไม่ถึง 2 เมตร ได้ยินเสียงจำเลยไม่ชัดเจน โดยได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง และเมื่อผู้อำนวยการฯ เดินไปข้างหน้า โดยอยู่ห่างจากจุดที่จำเลยยืนอยู่ประมาณ 1.50 เมตร แต่ไม่ถึง 2 เมตร ก็ได้ยินเสียงจำเลยไม่ชัดเจน ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้างเช่นกัน ขณะจำเลยกล่าวคำสาบาน ปากจำเลยไม่ตรงกับเครื่องขยายเสียง ทำให้เสียงจำเลยไม่ผ่านเข้าเครื่องขยายเสียง ผู้อำนวยการฯ ไม่แน่ใจว่าโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้ยินคำสาบานหรือไม่ แต่เห็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ให้สัญญาณมือว่าไม่ได้ยินเสียงจำเลย ทนายโจทก์เข้าไปแจ้งให้จำเลยพูดเสียงดังขึ้น แต่จำเลยยังคงพูดเหมือนเดิม ผู้อำนวยการฯ สอบถามโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่าเหตุใดไม่ยืนใกล้กับจำเลยเพื่อจะได้ยินเสียงคำสาบาน ผู้รับมอบอำนาจโจทก์แจ้งว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากพิธีสาบานจำเลยต้องยืนอยู่หลังโต๊ะทำพิธี และต้องการให้จำเลยพูดเสียงดังเพื่อให้ได้ยินทั่วกัน เมื่อเสร็จสิ้นการสาบาน โจทก์และทนายโจทก์ยื่นบันทึกให้ถ้อยคำว่า ไม่ได้ยินคำสาบาน เห็นว่า ในการท้ากันนั้นโจทก์และจำเลยไม่ได้ตกลงให้จำเลยดื่มน้ำสาบานและรับศีลห้าด้วย การดื่มน้ำสาบานและการรับศีลห้าจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคำท้า แม้จำเลยไม่ได้กระทำการดังกล่าว จะถือว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำท้าหาได้ไม่ ส่วนการที่จำเลยต้องกล่าวคำสาบานให้โจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และผู้อำนวยการฯ ได้ยินด้วยนั้น เป็นเงื่อนไขส่วนหนึ่งของคำท้า ในข้อนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 186 บัญญัติว่า ถ้าความสำเร็จแห่งเงื่อนไขจะเป็นทางให้คู่กรณีฝ่ายใดเสียเปรียบ และคู่กรณีฝ่ายนั้นกระทำการโดยไม่สุจริตจนเป็นเหตุให้เงื่อนไขนั้นไม่สำเร็จ ให้ถือว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยกล่าวคำสาบานโดยผู้อำนวยการฯ ได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลยในขณะอยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 1 เมตร ส่วนโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไม่ได้ยินเพราะโจทก์อยู่ห่างไกลจากจำเลย แต่เมื่อผู้อำนวยการฯ แจ้งให้โจทก์เข้าไปใกล้จำเลยเพื่อจะได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลย ฝ่ายโจทก์กลับปฏิเสธโดยอ้างว่าต้องการให้จำเลยพูดเสียงดังเพื่อให้ได้ยินทั่วกัน แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้บุคคลทั่วไปได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลยด้วย ซึ่งมิใช่เป็นข้อตกลงอันเป็นส่วนหนึ่งของคำท้า และข้อตกลงของคำท้าก็ไม่ได้กำหนดให้จำเลยกล่าวสาบานผ่านเครื่องขยายเสียงอันจะแปลเจตนาของคำท้าได้ว่าจำเลยต้องกล่าวคำสาบานให้บุคคลทั่วไปได้ยิน เมื่อฝ่ายโจทก์กล่าวอ้างว่าไม่สามารถเข้าไปใกล้จำเลยเพื่อให้ได้ยินถ้อยคำสาบานได้ เนื่องจากพิธีสาบานจำเลยต้องยืนอยู่หลังโต๊ะทำพิธี แสดงว่าฝ่ายโจทก์สามารถเข้าไปใกล้จำเลยได้ แต่โจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์กลับไม่เข้าไปใกล้จำเลยเพื่อให้ได้ยินเสียงถ้อยคำสาบาน จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายเสียเปรียบกระทำการโดยไม่สุจริตจนเป็นเหตุให้เงื่อนไขที่โจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ต้องได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลยด้วยนั้นไม่สำเร็จ ถือว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จ อันหมายถึง โจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้ยินถ้อยคำสาบานของจำเลยแล้วตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยจึงสาบานตนตรงตามคำท้าครบถ้วน โจทก์ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยดำเนินกระบวนการสาบานไม่ครบถ้วน ขอให้จำเลยสาบานใหม่โดยกำหนดรายละเอียดของพิธีสาบานให้ชัดเจนนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยสาบานตนตรงตามคำท้าและโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share