คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกตั๋วแลกเงินแล้วนำไปขายลดไว้แก่โจทก์โจทก์เรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินไม่ได้ ขอให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วแลกเงินพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีตามที่ได้ตกลงกันไว้ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าการเรียกดอกเบี้ยดังกล่าวตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและท้ายฟ้องของโจทก์ยังได้แนบสำเนาสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินมาด้วย แม้โจทก์ไม่บรรยายว่าฟ้องเรียกเงินตามตั๋วแลกเงินหรือตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน ฟ้องโจทก์ก็แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและขอให้บังคับตามสัญญา ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้มอบอำนาจให้ ก. ผู้จัดการสาขาธนาคารโจทก์ซื้อขายลดตั๋วเงินแทนโจทก์ แต่โจทก์ก็มอบอำนาจให้ ก. ฟ้องคดีเกี่ยวกับการรับซื้อลดตั๋วเงินดังกล่าว ถือว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การซื้อขายลดตั๋วเงินนั้นแล้ว โจทก์ฟ้องบังคับฐานผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน ไม่ใช่ฟ้องบังคับตามตั๋วแลกเงิน จึงไม่จำต้องบอกกล่าวการไม่ใช้เงินไปยังจำเลยภายใน 4 วัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 963 และดอกเบี้ยต้องเป็นไปตามอัตราที่ตกลงกันไว้ มิใช่อัตราร้อยละ 5 ต่อปีตามมาตรา 968(2) ทั้งสัญญาขายลดตั๋วเงินไม่มีกฎหมายกำหนดเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัวร่วมกันออกตั๋วแลกเงิน จำนวนเงิน500,000 บาท ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2526 สั่งบริษัทเรือขุดแร่จุตติ จำกัด จ่ายเงินให้แก่ธนาคารโจทก์ สาขาบ้านนาสาร ภายในกำหนด 22 วัน นับแต่วันออกตั๋ว แล้วจำเลยทั้งสองนำตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวไปขายลดให้โจทก์และรับเงินจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้วโดยสัญญาว่าหากโจทก์เรียกเก็บเงินจากผู้จ่ายไม่ได้จะยอมชำระเงินคืนให้โจทก์เต็มจำนวน ครั้นตั๋วแลกเงินถึงกำหนด โจทก์เรียกเก็บไม่ได้ จำเลยทั้งสองต้องใช้เงินคืนโจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี และอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญาขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินจำนวน 500,000 บาทและดอกเบี้ยที่ค้างจำนวน 228,125 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่าฟ้องในข้อหาเรียกเงินตามตั๋วแลกเงินหรือผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน โจทก์มิได้มอบอำนาจให้ผู้ใดเป็นผู้รับซื้อตั๋วแลกเงินแทนโจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม2526 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับประเด็นข้อแรกที่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าจะฟ้องเรียกเงินตามตั๋วเงินหรือเรียกเงินตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันออกตั๋วแลกเงินแล้วนำไปขายลดตั๋วเงินไว้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินไม่ได้ โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามตั๋วแลกเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ17.5 ต่อปี ตามที่ได้ตกลงกันไว้กับโจทก์ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าการเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูงดังกล่าวเรียกตามสัญญาขายลดตั๋วเงินนั่นเอง ท้ายฟ้องของโจทก์ยังได้แนบสำเนาสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินของจำเลยทั้งสองไว้อีกด้วย คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและขอให้บังคับตามข้อตกลงในสัญญาขายลดตั๋วเงิน ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ประเด็นข้อสองเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ นั้น จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ให้อำนาจนายโกมลซื้อขายลดตั๋วเงินแทนโจทก์ การที่นายโกมลรับซื้อไว้แทนโจทก์ที่ธนาคารของโจทก์ สาขาบ้านนาสารเป็นการกระทำนอกอำนาจนั้น ปรากฏว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายโกมลฟ้องคดีนี้ ถือว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การซื้อขายลดตั๋วเงินของธนาคารโจทก์ สาขาบ้านนาสารแล้ว และประเด็นข้อสามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิได้บอกกล่าวการไม่ใช้เงินไปยังจำเลยที่ 2 ภายใน 4 วัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 963 โจทก์สิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 973 นั้น ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์บังคับฐานผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน ไม่ใช่ฟ้องบังคับตามตั๋วแลกเงิน จึงนำบทบัญญัติสองมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับไม่ได้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ประเด็นข้อที่สี่เรื่องโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 2 หรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 2ไม่ได้ตกลงเรื่องดอกเบี้ยที่จะให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีถ้าหากจะต้องเสียตามกฎหมายในเรื่องตั๋วเงิน โจทก์ก็มีสิทธิเรียกได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 2ตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน ดอกเบี้ยจึงต้องเป็นไปตามอัตราที่ตกลงกันไว้ จำเลยที่ 2 จะให้บังคับในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 968(2) ไม่ถูกต้อง สำหรับประเด็นที่ห้าเรื่องคดีขาดอายุความหรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์จะต้องนำคดีมาฟ้องภายในกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ตั๋วแลกเงินถึงกำหนด โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาขายลดตั๋วเงิน โจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ 2ปฏิบัติตามสัญญาซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ”
พิพากษายืน

Share