แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายห้อยโหนที่บันไดท้ายรถเพราะคนโดยสารแน่น คนขับทราบว่ามีผู้โดยสารเกาะห้อยโหนอยู่ แต่ได้ขับแซงรถคันที่จอดอยู่ข้างหน้าจนท้ายรถเบียดชิด เป็นเหตุให้ผู้ตายฟาดกับรถที่จอดอยู่พลัดตกลงมาถึงแก่ความตาย ดังนี้เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทของคนขับ แม้ผู้ตายจะมีส่วนผิดอยู่ด้วย ในการที่ไปเกาะห้อยโหนอยู่ที่บันไดรถ ก็ไม่ทำให้คนขับพ้นความรับผิดจากความประมาทเลินเล่อดังกล่าวได้
ผู้ตายมีสร้อยคอทองคำ พระเครื่องและเงินสดติดตัว ไดสูญหายไปเพราะเหตุที่เกิดขึ้น เช่นนี้ จำเลยในฐานะผู้ขนส่งและนายจ้างจึงต้องรับผิด
การที่บุตรตายลงไป ย่อมทำให้บิดามารดาต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายทั้งนี้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าในปัจจุบันผู้ตายจะได้อุปการะบิดามารดาอยู่หรือไม่ บิดามารดาชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่ต้องขาดไร้อุปการะนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน และเป็นบิดามารดาของพลทหารชวลิต ชลานุเคราะห์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2511 เวลา 7 นาฬิกาเศษ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถเมล์ศรีนคร สายที่ 66 ของจำเลยที่ 2 โดยประมาท เป็นเหตุให้พลทหารชวลิตซึ่งยืนอยู่ที่บันไดรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับ ถูกเบียดอัดกับรถคันที่จอดอยู่ พลัดตกลงมาและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะผู้ขนส่งและนายจ้างของจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสร้อยทองคำ พระเครื่อง และเงินที่หายไปจากตัวผู้ตายเป็นเงิน 2,300 บาท ค่าทำศพเป็นเงิน 11,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตั้งแต่วันละเมิดจนถึงวันฟ้อง และให้ร่วมกันชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 72,000 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นให้ค่าสินไหมทดแทนทั้ง 3 รายการ คือ ค่าสายสร้อยพระเครื่องและเงินติดตัวผู้ตาย รวม 2,300 บาท ค่าทำศพ 10,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ 10 ปี เป็นเงิน 72,000 บาท รวมค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น 84,300 บาท แต่เนื่องจากผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วย จึงลดค่าสินไหมทดแทนลงกึ่งหนึ่ง ให้โจทก์ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียง 42,150 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันเป็นเงิน 42,150 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในเงิน 6,150 บาทนับแต่วันละเมิด จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายห้อยโหนที่บันไดท้ายรถเพราะคนโดยสารแน่นมาก จำเลยที่ 1 ทราบดีว่ามีผู้โดยสารยืนเกาะห้อยโหนอยู่ที่บันไดท้ายรถ จึงชอบที่จะแก้ไขมิให้ผู้โดยสารเกาะห้อยโหนรถเสียก่อนที่จะออกรถหรือหากจำเลยที่ 1 จะออกรถในลักษณะเช่นนั้น ก็ชอบที่จะขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อมิให้เกิดอันตรายแก่ผู้โดยสารนั้นการที่จำเลยที่ 1 ขับรถแซงรถคันที่จอดอยู่ข้างหน้าจนท้ายรถเบียดชิดกับรถคันที่จอด จนเป็นเหตุให้ผู้ตายฟาดกับรถที่จอดอยู่พลัดตกลงมาถึงแก่ความตาย จึงเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 แม้ผู้ตายจะมีส่วนผิดอยู่ด้วยในการที่ไปเกาะห้อยโหนอยู่ที่บันไดรถ ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นความรับผิดจากความประมาทเลินเล่อดังกล่าวได้
ประเด็นเรื่องสายสร้อยคอทองคำ พระเครื่อง และเงินสดที่หายไปนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายมีทรัพย์สินดังกล่าวติดตัวไปและสูญหายเพราะเหตุที่เกิดขึ้น จำเลยจึงต้องรับผิด
ส่วนค่าปลงศพนั้นเห็นว่า บิดาผู้ตายทำงานในตำแหน่งหัวหน้าตลาดสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้10,000 บาทนั้น เป็นการเหมาะสมแล้ว
ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูนั้นเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 443 วรรค 3 บัญญัติ “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้น ทำให้บุคคลคนหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535 บัญญัติว่า “บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา” กฎหมายมีดังนี้จึงถือได้ว่าการที่พลทหารชวลิตตายลง ทำให้โจทก์ผู้เป็นบิดามารดาต้องขาดไร้อุปการะจากผู้ตายตามกฎหมาย ทั้งนี้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าปัจจุบันผู้ตายจะได้อุปการะโจทก์ผู้เป็นบิดามารดาอยู่หรือไม่ โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายนั้นได้ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองมานั้นเป็นการสมควรแล้ว
พิพากษายืน