คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9347/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ช. ได้จดทะเบียนให้โจทก์ซึ่งเป็นหลานและจำเลยซึ่งเป็นบุตรเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่19ไร่26ตารางวาแต่ได้ทำบันทึกแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์เพียง4ไร่ด้านหน้าติดคลองภาษีเจริญกว้างประมาณ10วาโดยวัดเป็นเส้นตรงขึ้นไปโดยโจทก์จำเลยลงลายมือชื่อเป็นเส้นตรงขึ้นไปโดยโจทก์จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้รับให้ไว้โดยชอบแม้ช. จะไม่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือไว้เป็นผู้ให้ในบันทึกเช่นที่พิมพ์ไว้ในหนังสือสัญญาให้ที่ดินด้วยก็ตามแต่ช. ก็ลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกนั้นหรือแม้จะไม่ได้ลงวันเดือนปีที่ทำบันทึกไว้ในบันทึกแต่ก็ทำในวันเดียวกับที่ช. จดทะเบียนการให้ทั้งก็ระบุถึงวันเดือนปีที่จดทะเบียนการให้ลงในบันทึกด้วยแล้วทั้งสองประการนี้จึงไม่เป็นเหตุที่จะทำให้การรับฟังบันทึกดังกล่าวเสียไปบันทึกดังกล่าวก็หาใช่คำมั่นจะให้ของช. แต่อย่างใดไม่แม้จะเป็นการทำขึ้นภายหลังที่มีการจดทะเบียนการให้แต่ก็เป็นเพียงเอกสารอันเป็นหลักฐานยืนยันถึงเจตนาของการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์จำเลยนั้นช.แบ่งส่วนให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินเพียง4ไร่ตามที่ระบุในบันทึกเท่านั้นที่ดินส่วนที่เหลือนอกนั้นเป็นของจำเลยซึ่งโจทก์จำเลยก็ลงลายมือชื่อรับรู้แล้วย่อมรับฟังประกอบการจดทะเบียนได้โจทก์คงมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเพียง4ไร่ด้านหน้าติดคอลงภาษีเจริญกว้างประมาณ10วาโดยวัดเป็นเส้นตรงขึ้นไปโจทก์จึงมีสิทธิขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินตามส่วนดังกล่าวเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 48 ตำบลหนองแขม อำเภอภาษีเจริญกรุงเทพมหานครเนื้อที่ 19 ไร่ 26 ตารางวา โดยได้รับการยกให้จากนางชุ่ม แซ่ห่าน เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2503 นับแต่นั้นมาโจทก์และจำเลยได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวร่วมกันโดยมิได้มีการแบ่งเป็นส่วนสัด ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม 2534 โจทก์และจำเลยได้ยื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาหนองแขม แต่ไม่อาจดำเนินการได้เนื่องจากโจทก์และจำเลยไม่สามารถตกลงเรื่องเขตที่ดินระหว่างกันได้ ขอให้บังคับจำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาหนองแขม รังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 48 ตำบลหนองแขม อำเภอภาษีเจริญกรุงเทพมหานครให้โจทก์และจำเลยคนละครึ่งหากดำเนินการไม่ได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดระหว่างโจทก์และและหากการขายทอดตลาดระหว่างโจทก์และจำเลยไม่อาจกระทำได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดและแบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้โจทก์และจำเลยคนละครึ่ง ให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมต่าง ๆในการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในส่วนของจำเลยหรือในกรณีที่ต้องนำที่ดินออกขายทอดตลาด ให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาดทั้งสิ้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทีดินตามฟ้องโดยการยกให้ของนางชุ่ม แซ่ห่านจริง แต่นางชุ่มประสงค์จะยกที่ดินให้แก่โจทก์เพียง 4 ไร่ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของที่ดินดังกล่าวโดยมีหน้ากว้าง 10 วาด้านติดคลองภาษีเจริญ ที่ดินส่วนที่เหลือเนื้อที่ 15 ไร่26 ตารางวา ตามบันทึกการยกให้และผังที่ดินที่ยกให้เอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมายเลข 1 และ 2 โจทก์มิได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินครึ่งหนึ่งตามฟ้องโจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินร่วมกับจำเลย จำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินในส่วนของตนที่ได้รับการยกให้ และครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน 4 ไร่ ซึ่งเป็นส่วนของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลา 32 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของโจทก์แล้วต่อมาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม2534 โจทก์ขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินคืนให้โจทก์บ้างจำเลยยอมยกที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่ ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์กลับขอให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินครึ่งหนึ่งให้แก่โจทก์โจทก์และจำเลยจึงไม่อาจตกลงกันได้ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้ที่ดิน 4 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมายเลข 1 และ 2 เป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นเอง โจทก์ไม่เคยตกลงยินยอมด้วย ทั้งนางชุ่ม แซ่ห่าน ก็มิได้มีความประสงค์ใด ๆ ตามเอกสารดังกล่าว เพราะนางชุ่มได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนยกที่ดินให้โจทก์และจำเลยโดยมิได้กำหนดส่วนสัด การที่นางชุ่มยกที่ดินให้โจทก์และจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมกัน โจทก์และจำเลยจึงครอบครองที่ดินร่วมกันตามกฎหมาย การที่โจทก์และจำเลยกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวก็เป็นการกระทำในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม และเป็นการกระทำแทนอีกฝ่ายหนึ่งจำเลยไม่เคยแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะการครอบครองเป็นการครอบครองหรือยึดถือเพื่อตนจำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้งจำเลย และให้จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาหนองแขม รังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 48 ตำบลหนองแขม อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี (ที่ถูกคือกรุงเทพมหานคร) โดยแบ่งให้โจทก์และจำเลยคนละครึ่ง หากดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดระหว่างโจทก์และจำเลย และหากการขายทอดตลาดระหว่างโจทก์และจำเลยไม่อาจกระทำได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด และนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาแบ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยคนละครึ่ง ให้โจทก์จำเลยออกค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมคนละครึ่งหรือในกรณีที่ต้องนำที่ดินออกขายทอดตลาดให้โจทก์และจำเลยออกค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาดคนละครึ่ง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2503 นางชุ่ม แซ่ห่าน ได้จดทะเบียนให้โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นหลานและบุตรตามลำดับ เป็นเจ้าของรวมในกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 48 ตำบลหนองแขม อำเภอภาษีเจริญกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 19 ไร่ 26 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่านางชุ่มให้โจทก์มีส่วนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นเนื้อที่เพียง4 ไร่ หรือไม่ จำเลยเบิกความเป็นพยานยืนยันว่า หลังจากนายมงคล สัพท์เสวี จำนองที่ดินพิพาทไว้กับนางชุ่มแล้วต่อมานายมงคลได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย แต่ในวันนัดจดทะเบียนโอนที่ดิน จำเลยนำเอกสารการรับโอนไปไม่พร้อม จึงให้นางชุ่มซึ่งเป็นมารดาจดทะเบียนเป็นผู้รับโอนเนื่องจากชำระหนี้จำนองไว้ก่อน แล้วจำเลยนัดให้นางชุ่มไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้จำเลยภายหลัง ต่อมาเมื่อจำเลยเตรียมเอกสารหลักฐานการรับโอนพร้อมแล้ว จึงให้นางชุ่มไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้จำเลย แต่นางชุ่มได้ขอแบ่งที่ดินให้โจทก์ ซึ่งเป็นหลานขณะนั้นมีอายุ11 ปี เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ ให้ด้านหน้าติดคลองภาษีเจริญกว้างประมาณ 10 วา โดยวัดเป็นเส้นตรงขึ้นไป จำเลยตกลงนางชุ่มจึงจดทะเบียนให้โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของรวมในกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้จดทะเบียนแจ้งส่วนสัดเนื้อที่ดินในการเป็นเจ้าของรวมของโจทก์ไว้ แต่ในวันเดียวกันนั้นหลังจากนางชุ่มจดทะเบียนโอนให้แล้วนางสาวอุบล เสนะวัฒน์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดินได้ทำบันทึกข้อตกลงเรื่องที่นางชุ่มยกที่ดินให้โจทก์เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ ให้นางชุ่มยกที่ดินให้โจทก์เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ ให้นางชุ่มและโจทก์จำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยนางสาวอุบลและนางสาวอรทัย ถนอมบุญลงลายมือชื่อเป็นพยานด้วยตามบันทึกเอกสารหมาย จ.2 หลังจากนั้นโจทก์ไม่เคยเข้ามาครอบครองทีดินพิพาทเพิ่งจะมาขอแบ่งแยกเมื่อเดือนตุลาคม 2534 โดยให้โจทก์มีนางสาวอุบลและนางสาวอรทัยถนอมบุญ ซึ่งต่อมาภายหลังแต่งงานแล้วใช้นามสกุลของสามีเป็นนางอรทัย จันทร์แจ่ม ที่ลงชื่อเป็นพยานในบันทึกเอกสารหมายล.2 มาเบิกความสนับสนุนถึงการทำบันทึกเอกสารหมาย ล.2 และยืนยันว่านางชุ่มและโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกดังกล่าว ทั้งนางสาวอุบลยังได้เบิกความสนับสนุนถึงความเป็นมาที่นางชุ่มจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทชำระหนี้จำนองและยกให้โจทก์จำเลยทำนองเดียวกับที่จำเลยเบิกความ แม้นางสาวอุบลจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับจำเลยและนางอรทัยเป็นน้องสาวจำเลยก็ตาม แต่ทั้งสองคนก็เป็นอาของโจทก์และต่างก็รับราชการโดยนางอรทัยรับราชการครู ส่วนนางสาวอุบลเคยรับราชการที่กรมที่ดินแต่เกษียณอายุราชการแล้ว ไม่มีเหตุที่จะต้องเบิกความเข้าข้างจำเลยโดยไม่คำนึ่งถึงโจทก์ซึ่งเป็นหลานและเป็นคนพิการคำเบิกความของนางสาวอุบลและนางอรทัยจึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ส่วนโจทก์มีแต่ตัวโจทก์เพียงคนเดียวเบิกความลอย ๆ ว่าไม่เคยเห็นบันทึกเอกสารหมาย ล.2 มาก่อน และลายมือชื่อที่อ่านได้ว่าเดชา ปริญญาชัยศักดิ์ ชื่อโจทก์นั้นไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ โดยไม่มีพยานอื่นมาเบิกความสนับสนุน ย่อมมีน้ำหนักรับฟังน้อย ทั้งโจทก์ก็เบิกความว่าในวันที่นางชุ่มจดทะเบียนการให้นั้น โจทก์จะลงลายมือชื่อในเอกสารอื่นอีกหลายฉบับหรือไม่ จำเลยไม่ได้ ซึ่งโจทก์อาจลงลายมือชื่อเป็นผู้รับในเอกสารหมาย ล.2 ก็ได้แต่เพราะขณะนั้นโจทก์อายุเพียง 11 ปี และเอกสารดังกล่าวเก็บอยู่ที่จำเลยตลอดมาเป็นเวลานาน โจทก์จึงจำไม่ได้ซึ่งศาลได้เปรียบเทียบลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์ยอมรับว่า ลายมือชื่อที่อ่านได้ว่า เดชา ปริญญาชัยศักดิ์ ผู้รับให้เป็นลายมือชื่อโจทก์กับลายมือชื่อว่า เดชา ปริญญาชัยศักดิ์ ผู้รับให้ในบันทึกเอกสารหมาย ล.2 แล้ว เห็นว่า มีส่วนคล้ายกัน เมื่อนางสาวอุบลหมาย ล.2 แล้ว เห็นว่า มีส่วนคล้ายกัน เมื่อนางสาวอุบลและนางอรทัยซึ่งเป็นพยานรู้เห็นการทำบันทึกเอกสารหมาย ล.2ดังกล่าว มาเบิกความยืนยันสอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยพยานจำเลยจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานโจทก์ ฟังได้ว่านางชุ่มได้ทำบันทึกแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์เพียง 4 ไร่ ด้านหน้าติดคลองภาษีเจริญกว้างประมาณ 10 วา โดยวัดเป็นเส้นตรงขึ้นไปโดยโจทก์จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้รับให้ไว้โดยชอบ แม้นางชุ่มจะไม่ได้พิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือไว้เป็นผู้ให้ในบันทึกเอกสารหมายล.2 เช่นที่พิมพ์ไว้ในเอกสารหมาย จ.1 ด้วยก็ตาม แต่นางชุ่มก็ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งก็คล้ายกับที่ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารหมาย จ.1 หรือแม้จะไม่ได้ลงวันเดือนปีที่ทำบันทึกไว้ในเอกสารหมาย ล.2 แต่จำเลยและพยานก็ยืนยันว่าทำในวันเดียวกับที่นางชุ่มจดทะเบียนการให้ ทั้งก็ระบุถึงวันเดือนปีที่จดทะเบียนการให้ลงในบันทึกด้วยแล้วทั้งสองประการนี้จึงไม่เป็นเหตุที่จะทำให้การรับฟังบันทึกดังกล่าวเสียไป บันทึกดังกล่าวก็หาใช่คำมั่นจะให้ของนางชุ่มแต่อย่างใดไม่ แม้จะเป็นการทำขึ้นภายหลังที่มีการจดทะเบียนการให้ แต่ก็เป็นเพียงเอกสารอันเป็นหลักฐานยืนยันถึงเจตนาของการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์จำเลยนั้น นางชุ่มแบ่งส่วนให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินเพียง 4 ไร่ตามที่ระบุในบันทึกเท่านั้น ที่ดินส่วนที่เหลือนอกนั้นเป็นของจำเลย ซึ่งโจทก์จำเลยก็ลงลายมือชื่อรับรู้แล้ว ย่อมรับฟังประกอบการจดทะเบียนได้ โจทก์คงมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเพียง 4 ไร่ด้านหน้าติดคลองภาษีเจริญกว้างประมาณ 10 วา โดยวัดเป็นเส้นตรงขึ้นไปโจทก์จึงมีสิทธิขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินตามส่วนดังกล่าวเท่านั้นอย่างไรก็ตามเนื่องจากขณะนี้ในส่วนที่ดินของโจทก์มีการสร้างฮวงจุ้ยของบิดามารดาจำเลยขึ้นแต่จำเลยก็ยอมให้ที่ดินบริเวณอื่นเท่าที่โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของแทน จนกระทั่งมีการขอให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเพื่อแบ่งแยกแล้ว แต่เกิดข้อพิพาทจึงให้แบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์เนื้อที่ 4 ไร่ ตามที่โจทก์จำเลยจะตกลงกัน หากตกลงกันไม่ได้ก็ให้แบ่งตามส่วนที่นางชุ่มกำหนดไว้ในบันทึกเอกสารหมาย ล.2
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 48 ตำบลหนองแขมอำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ให้โจทก์มีเนื้อที่ 4 ไร่ตามที่โจทก์จำเลยจะตกลงกัน หากตกลงกันไม่ได้ให้โจทก์ได้ส่วนเนื้อที่ 4 ไร่ ด้านหน้าติดคลองภาษีเจริญ กว้างประมาณ10 วา วัดเป็นเส้นตรงขึ้นไป (จากทิศเหนือไปทิศใต้) ให้โจทก์และจำเลยออกค่าใช้จ่าย กับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการรังวัดแบ่งแยกตามส่วนแบ่งที่ดินที่แต่ละคนได้รับ

Share