คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดฐานเป็นตัวการฉ้อโกงเรื่องแกล้งแสดงตนว่าเป็นคนใช้วิทยาคมได้ ตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.304,306(2) และจำเลยที่ 2 มี ความผิดฐานเป็นผู้ช่วยเหลืออุปการะในการกระทำผิดดังกล่าวผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา ม.304,306,65 อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำความผิดบัดนี้ประมวลกฎหมายอาญาได้เปลี่ยนแปลงความผิดฐานฉ้อโกงไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดโดยการใช้อุบายพิเศษเรื่องแกล้งแสดงตนว่าเป็นคนใช้วิทยาคมได้นั้นเป็นอันยกเลิกไปเสียแล้วและที่โจทก์กล่าวฟ้องในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เป็นกรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายอาญา ม.342 ฉะนั้นการกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.341 ตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.304 เท่านั้นอันมีอัตราโทษจำคุกเพียงไม่เกิน 3 ปี เบากว่าอัตราโทษตาม กฎหมายลักษณะอาญา ม.306(2) มาก แม้เรื่องนี้เฉพาะโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ให้หนักขึ้น แต่ความผิดฐานฉ้อโกงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ทำผิดดังกล่าวแล้วซึ่งประมวลกฎหมายอาญา ม.3 บัญญัติให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้ทำผิดและเป็นเหตุในลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายอาญา ม.89 จึงมีผลเกี่ยวพันไปถึงตัวจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาขึ้นมานั้นด้วยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นตัวการจึงผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.341,83 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดรายนี้ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญาม.341 ประกอบด้วย ม.86

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเป็นทำนองเดียวกันทั้ง 2 สำนวน ใจความว่า จำเลยสมคบกันใช้อุบายหลอกลวงนำความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จมาบอกแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์รวมทั้ง 4 คนว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้มีวิทยาคุณทางไสยศาสตร์สามารถรักษาโรคได้นานาชนิด และในการรักษานี้ต้องนำเงินและเครื่องอัญญมณีมาเข้าพิธีบูชา “ท่านแม่ให้ได้ตามกำหนดเวลาแล้วจึงจะคืนให้ ผู้เสียหายทั้ง 4 นั้นหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงได้ส่งทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ รวมราคา 61,999 บาท ให้แก่จำเลย ความจริงจำเลยหาได้มีวิทยาคุณในทางรักษาโรคอย่างใดไม่และทั้งเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว จำเลยก็ไม่คืนทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหาย ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 แสดงตนเป็นคนใช้วิทยาคุณสามารถในการปลุกเสกรักษาโรคได้ จำเลยที่ 2 ให้อุปการะแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงเพื่อที่จะเอาทรัพย์ดังกล่าวแล้ว

จำเลยปฏิเสธ และตัดฟ้องว่า ฟ้องเคลือบคลุม กับร้องขอให้ศาลวินิจฉัย ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมเสียก่อน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและมีคำสั่งว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม

เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้ว จำเลยที่ 1 กลับรับสารภาพตามฟ้องทั้ง 2 สำนวน ศาลชั้นต้นแยกพิพากษาคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ว่า เป็นผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304, 306 ทั้ง 2 สำนวนให้รวมกระทงลงโทษตาม มาตรา 306 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 5 ปี ลดให้ตามมาตรา 59เสีย 1 ปี คงเหลือ 4 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ทั้ง 2 สำนวน 61,999 บาท แก่ผู้เสียหาย และพิจารณาคดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อไป แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ได้สมคบกับจำเลยที่ 1 ในการทำผิดรายนี้ด้วย แต่ประกอบกรรมน้อยกว่าจำเลยที่ 1 จึงพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 จำคุก 3 ปี ตามบทกฎหมายข้างต้น และให้ร่วมรับผิดคืนหรือใช้ทรัพย์ 61,999 บาท แก่ผู้เสียหาย คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ยังฟังไม่ได้ว่าได้สมคบหรือสมรู้ในการทำผิดรายนี้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ของกลางคืนผู้เสียหาย

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่าฟ้องเคลือบคลุม และจำเลยมิได้ทำผิด

ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องตามศาลชั้นต้นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและจำเลยที่ 1 สมคบในการทำผิดรายนี้ด้วยจริง กับฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ช่วยเหลืออุปการะในการทำผิดของจำเลยที่ 1 ตลอดมา จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 2 ผิดกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 304 และ 306 ประกอบด้วย มาตรา 65 ให้รวมกระทงลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 5 ปี และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 61,999 บาทแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ร่วมฝ่ายเดียวฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ให้หนักขึ้นอีก

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าสมควรจะลงโทษจำเลยที่ 2 ให้หนักขึ้นอีกหรือไม่ตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมานั้น ปรากฏว่าคดีเรื่องนี้จำเลยถูกหาในความผิดฐานฉ้อโกง โดยใช้อุบายพิเศษเรื่องแกล้งแสดงตนว่าเป็นคนใช้วิทยาคมได้ ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 306(2) อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำความผิด แต่บัดนี้ประมวลกฎหมายอาญา ได้เปลี่ยนแปลงความผิดฐานฉ้อโกงไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดโดยการใช้อุบายพิเศษเรื่องแกล้งแสดงตนว่าเป็นคนใช้วิทยาคมได้นั้นเป็นอันยกเลิกไปเสียแล้ว และเรื่องที่โจทก์กล่าวฟ้องนี้ ไม่ใช่กรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 ฉะนั้นการกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 เท่านั้นอันมีอัตราโทษจำคุกเพียงไม่เกิน 3 ปี เบากว่าอัตราโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 306(2) มาก และความผิดเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะการหลอกลวงของจำเลยที่ 1 เป็นส่วนใหญ่ จำเลยที่ 2 เป็นแต่เพียงผู้สนับสนุนอุปการะช่วยเหลือในบางตอนซึ่งเป็นส่วนน้อย และจำเลยที่ 2 เป็นหญิงมีบุตรเล็ก ๆ ถึง 4 คนกำลังเล่าเรียนศึกษาอยู่จำเป็นต้องอุปการะเลี้ยงดู ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ที่วางโทษจำคุก 1 ปีและให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด 5 ปี

ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ความผิดฐานฉ้อโกงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ทำผิดดังได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้ทำผิด และเป็นเหตุในลักษณะคดีตาม มาตรา 89 เกี่ยวพันไปถึงตัวจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาขึ้นมานั้นด้วย

ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3ซึ่งเป็นตัวการ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 ทั้งสองสำนวน ให้รวมกระทงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี คำรับของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง สมควรบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ให้แก่จำเลย8 เดือน คงเหลือจำคุก 2 ปี 4 เดือนจำเลยที่ 3 ร่วมทำผิดด้วยเป็นส่วนน้อยให้จำคุก 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการทำผิดรายนี้ ผิดตามมาตรา 341, 86 ในเรื่องโทษของจำเลยที่ 2 ตลอดจนการรอการลงโทษและการใช้หรือคืนทรัพย์ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share