คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9335/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้พยานจะเป็นญาติกับโจทก์ แต่ความเป็นญาติก็มิใช่เหตุผลที่จะต้องฟังว่าพยานจะเบิกความเข้าข้างกันเสมอไปคำเบิกความของพยานคนใดจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใดอยู่ที่เหตุผลในคำพยานนั้นเอง เมื่อปรากฏว่าคำเบิกความของพยานเป็นไปในทางเสียหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของตนย่อมรับฟังได้ การนำสืบถึงมูลเหตุอันเป็นที่มาแห่งข้ออ้างตามคำฟ้องมิได้มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดงจึงนำสืบพยานบุคคลได้ พ.และอ. ขอออกโฉนดที่ดินของตนโดยนำชี้รวมเอาที่ดินของ ก. เข้าไปด้วยโดยขณะนั้น พ. ยังคงทำนาในที่ดินพิพาทของ ก. ต่างดอกเบี้ย ถือว่า พ. ยึดถือที่ดินไว้แทน ก.แม้จะนานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองและถือว่าโฉนดที่ดินในส่วนที่ออกทับที่ดินพิพาทของ ก. เป็นการออกโฉนดที่ไม่ชอบแม้จะมีการโอนทะเบียนกี่ครั้งผู้รับโอนก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เพราะผู้ขอออกโฉนดไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ผู้รับโอนโฉนดต่อมาแม้จะเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน จึงชอบที่ศาลจะสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทเสียได้เฉพาะในส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายแก้ว แก้วดินรี ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 296เนื้อที่ประมาณ 16 ไร่ เมื่อปี 2514 นายพรม กรวยสวัสดิ์ได้นำที่ดินไปขอออกเป็นโฉนดเลขที่ 3519 ทับที่ดินนายแก้วโดยทุจริต และนายแก้วมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ต่อมาปี 2523นายแก้ว ถึงแก่กรรมหลังจากนั้นปี 2524 นายพรมนำที่ดินโฉนดดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองแก่นายเท็ง เตียประพงษ์เมื่อนายพรมถึงแก่กรรม ทายาทของนายพรมโอนที่ดินตีใช้หนี้แก่นายเท็ง ต่อมานายเท็งขายที่ดินให้แก่จำเลยจำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ขอให้พิพากษาเพิกถอนโฉนดเลขที่ 3519เนื้อที่ 53 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวา ดังกล่าวและให้จำเลยส่งมอบที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์คืนโจทก์ ห้ามจำเลยพร้อมทั้งบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า นายพรมครอบครองทำกินในที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3519 อย่างเป็นเจ้าของมากว่า 50 ปีแล้วได้นำชี้รังวัดออกโฉนดโดยชอบ ไม่ได้ทับที่ดินโจทก์แต่อย่างใดจำเลยซื้อที่ดินโดยสุจริต จดทะเบียนซื้อขายและเข้าครอบครองทำประโยชน์อย่างเป็นเจ้าของตลอดมา ฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกคืนการครอบครองขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดเลขที่ 3519ตำบลกุดจอก อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 53 ไร่3 งาน 11 ตารางวา และให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทตามส.ค.1 เลขที่ 296 หมู่ที่ 19 ตำบลกุดจอก อำเภอบัวใหญ่จังหวัดนครราชสีมา คืนโจทก์กับห้ามจำเลยพร้อมบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ปัญหาข้อนี้โจทก์มีนางอินทร์ กรวยสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความว่าเมื่อปี 2512 นายแก้วมาขอกู้ยืมเงินจากพยานและนายพรมจำนวน 10,000 บาท ไม่มีกำหนดเวลาการชำระเงินต้น ตกลงกันไว้ว่าถ้านายแก้วมีเงินเมื่อใดก็นำมาชำระคืนส่วนดอกเบี้ยตกลงชำระโดยให้พยานและนายพรมเข้าทำนาในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ย ทั้งยังนำ ส.ค.1 ของที่ดินพิพาท เนื้อที่ประมาณ16 ไร่ มาให้พยานและนายพรมยึดถือไว้เป็นประกันด้วยพยานและนายพรมจึงได้เข้าทำนาต่างดอกเบี้ยมาตลอดต่อมาเมื่อทางราชการได้สำรวจที่ดินเพื่อออกโฉนดทั้งตำบลพยานและนายพรมเกรงว่าหากไม่นำที่ดินนายแก้วไปขอออกโฉนดที่ดินจะตกเป็นของหลวงตามที่เจ้าพนักงานที่ดินบอกจึงได้นำชี้ที่ดินของตนรวมเอาที่ดินนายแก้วเข้าไปด้วยเพื่อออกโฉนดในนามนายพรม โดยพยานและนายพรมคิดไว้ว่าหากนายแก้วนำเงินกู้มาชำระคืนเมื่อใด ก็จะโอนที่ดินคืนให้แก่นายแก้ว ต่อมาทางราชการออกโฉนดให้มีเนื้อที่รวม 53 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวาตามโฉนดเลขที่ 3519 เอกสารหมาย จ.4 เห็นว่า นางอินทร์เป็นภริยานายพรม อยู่กินด้วยกันจนกระทั่งนายพรมถึงแก่กรรมย่อมจัดเป็นผู้อยู่ในฐานะที่จะรู้ได้ดีถึงความเป็นไปของที่ดินพิพาท แม้พยานจะเป็นญาติกับโจทก์ แต่ความเป็นญาติก็มิใช่เหตุผลที่จะต้องฟังว่าพยานจะเบิกความเข้าข้างกันเสมอไปคำเบิกความของพยานคนใดจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใดอยู่ที่เหตุผลในคำพยานนั้นเอง ในเมื่อปรากฏว่าคำเบิกความของพยานเป็นไปทางเสียผลประโยชน์ของตนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ซึ่งทำกินต่างดอกเบี้ยเท่านั้น และเกรงว่าจะต้องตกเป็นของหลวงจึงแจ้งขอออกโฉนดไว้ก่อนโดยจะโอนคืนให้เมื่อนายแก้วนำเงินมาชำระ อันเป็นคำกล่าวที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของตนย่อมรับฟังได้ นอกจากนี้โจทก์มีตัวโจทก์และนางบานเย็น สงนอก นายเสน่ห์ แก้วดอนรีนางบุญร่วม บารมี นางอ่วม โตโคกสูง ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันมาเบิกความสอดคล้องต้องกันกับนางอินทร์ว่า นายแก้วบิดาของตนได้กู้ยืมเงินนายพรมไป 10,000 บาท เมื่อปี 2512โดยให้นายพรมเข้าทำกินในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยและมอบ ส.ค.1ของที่ดินพิพาทให้ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ด้วย ซึ่งการนำสืบดังกล่าวเป็นการนำสืบถึงมูลเหตุอันเป็นที่มาแห่งข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ว่าเหตุใดนายพรม นางอินทร์ จึงได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท การนำสืบเช่นนี้กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดงจึงนำสืบพยานบุคคลได้ ข้อนำสืบดังกล่าวเป็นเหตุผลสนับสนุนให้ถ้อยคำของนางอินทร์มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ส่วนจำเลยมิได้นำสืบหักล้างหรือแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะออกโฉนดนายพรมยังคงทำนาของนายแก้วต่างดอกเบี้ย ถือได้ว่านายพรมยึดถือที่ดินไว้แทนนายแก้วเท่านั้นแม้จะนานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองทั้งยังได้ความจากนายเตี้ยง พุ่มคง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาสาขาบัวใหญ่ พยานจำเลยว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 3519 ที่พิพาทกันนี้ได้ออกเดินสำรวจเพื่อออกโฉนดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2512ซึ่งการออกโฉนดดังกล่าวผู้นำสำรวจจะต้องนำ ส.ค.1 เป็นหลักฐานในการขอออกโฉนด ซึ่งในใบไต่สวนระบุว่าผู้ขอออกโฉนดได้นำส.ค.1 เลขที่ 67 ตามเอกสารหมาย จ.3 มาเป็นหลักฐานในการขอออกโฉนด ซึ่งใน ส.ค.1 ดังกล่าวระบุว่าที่ดินมีเนื้อที่ 39 ไร่แต่เมื่อออกเป็นโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.4 แล้วปรากฏว่ามีเนื้อที่ถึง 53 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวา ซึ่งตามระเบียบแล้วเจ้าหน้าที่ผู้เดินสำรวจจะต้องทำการสอบสวนว่า เหตุใดจึงมีเนื้อที่เกินกว่า ส.ค.1 หากมีการชี้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น การออกโฉนดก็ไม่ชอบ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าโฉนดที่ดินพิพาทออกทับที่ดินนายแก้วจึงเป็นการออกโฉนดที่ไม่ชอบ แม้จะมีการโอนทะเบียนกี่ครั้งก็ตาม ผู้รับโอนก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เพราะผู้ขอออกโฉนดไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ผู้รับโอนโฉนดต่อมาแม้จะเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก็ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน จึงชอบที่ศาลจะสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทเสียได้ แต่ที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดเลขที่ 3519 ทั้งแปลงเนื้อที่ 53 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวา นั้นเห็นว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวออกทับที่ดินของนายพรมบิดาโจทก์ประมาณ 16 ไร่ กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการออกโฉนดที่ดินคลาดเคลื่อนอันกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ในส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้นซึ่งสามารถทำการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินทั้งฉบับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนโฉนดเลขที่ 3519ตำบลกุดจอก อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 296หมู่ที่ 19 ตำบลกุดจอก อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาทิศทางที่ปรากฎในแผนที่พิพาท เนื้อที่ประมาณ 16 ไร่ และให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทตาม ส.ค.1 เลขที่ 296 ดังกล่าวคืนโจทก์กับห้ามจำเลยพร้อมบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Share