คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9314/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน 2,973,482 บาท แต่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,927,761 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19ต่อปีของต้นเงิน 2,927,761 บาท และศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินตามจำนวนในคำท้ายฟ้อง จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินไม่เต็มตามคำฟ้องของโจทก์ เงินที่ขาดไปไม่ใช่เป็นข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143ศาลย่อมไม่มีอำนาจแก้ไขได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นทายาทโดยธรรมของนางเงียนโม้ย แซ่ลี ผู้ค้ำประกันและจำนอง ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม2540 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน2,500,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ยินยอมให้โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้ และหากมีดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 1 ปี ยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ นางเงียนโม้ย แซ่ลี เข้าค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และนางเงียนโม้ย แซ่ลี ได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 5776 ตำบลพังลา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้กู้ยืมภายหลังทำสัญญาและรับเงินไปจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระต้นเงินให้แก่โจทก์จำนวน 39,696 บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2540 ต่อจากนั้นจำเลยที่ 1ผิดนัดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2540 โจทก์บอกกล่าวทวงถามแล้วจำเลยที่ 1 เพิกเฉยและบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 2 และที่ 3แล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,927,761 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 2,927,761 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5776 ตำบลพังลา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้หากได้เงินไม่พอ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน2,927,761 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 พฤศจิกายน 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5776 ตำบลพังลา อำเภอสะเดาจังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบแต่ความรับผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น รวมแล้วต้องไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนางเงียนโม้ย แซ่ลี ที่ตกแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง เป็นกรณีที่คำพิพากษามีข้อผิดหลงเล็กน้อยซึ่งศาลมีคำสั่งเพิ่มเติมได้แต่คดีนี้โจทก์เรียงคำขอท้ายฟ้องคลาดเคลื่อน ทั้งมิได้มีคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องจนกระทั่งศาลมีคำพิพากษา กรณีจึงมิใช่ศาลมีคำพิพากษาไปโดยผิดหลงให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ในข้อ 1 ที่อ้างว่าพิมพ์ผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยในเรื่องตัวเลขศาลจะแก้ไขได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143คำพิพากษาหรือคำสั่งใด หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อหลงเล็กน้อยอื่น ๆ และมิได้มีการอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ศาลที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งมีอำนาจแก้ไขได้ สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน 2,973,482บาท แต่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,927,761 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 2,927,761 บาท และศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินตามจำนวนในคำขอท้ายฟ้อง จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระไม่เต็มตามคำฟ้องของโจทก์ เงินที่ขาดไปไม่ใช่เป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ เมื่อกรณีไม่ใช่เป็นข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย ศาลย่อมไม่มีอำนาจแก้ไขได้ ที่ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share