คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 931/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยมีเฮโรอีนจำนวน 5 ห่อ หนัก 0.43 กรัมไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และขายเฮโรอีน 1 ห่อ หัก 0.12 กรัม ที่จำเลยมีไว้นั้นให้ผู้มีชื่อ จำเลยรับสารภาพ ปรากฏตามทางพิจารณาว่า ตำรวจจับผู้ซื้อพร้อมด้วยเฮโรอีน 1 ห่อ ซึ่งจำเลยขายให้และจับจำเลยได้พร้อมเฮโรอีนของกลางอีก 4 ห่อ เห็นได้ว่าการที่จำเลยขายเฮโรอีนแก่ผู้อื่นไป 1 ห่อ ย่อมเป็นความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนอีกกรรมหนึ่ง การที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีก 4 ห่อ จนกระทั่งถูกจับได้พร้อมกับเฮโรอีนดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายอีกกรรมหนึ่งต่างหาก เพราะเป็นเฮโรอีนคนละจำนวนกัน ความผิดดังกล่าวจึงแยกออกได้เป็นสองกรรม แต่ละกรรมเป็นความผิดต่างกระทงกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
ก. จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ จำนวน ๔ ห่อเล็กหนัก ๐.๕๓ กรัม ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดไว้ในความครอบครองของจำเลยเพื่อจำหน่ายหรือจ่ายแจก
ข. จำเลยทั้งสามให้บังอาจร่วมกันขายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ จำนวน ๑ ห่อเล็ก หนัก ๐.๑๒ กรัม ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดที่จำเลยร่วมกันมีไว้ให้แก่ผู้มีชื่อไป
ทั้งนี้โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามและผู้มีชื่อได้พร้อมด้วยเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ มาตรา ๔, ๔ ทวิ, ๑๔, ๒๐ ทวิ, ๒๐ ตรี พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๓, ๔, ๖, ๗ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ และสั่งริบของกลางเฉพาะที่เหลือจากการขายของจำเลย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ มาตรา ๔, ๔ ทวิ, ๑๔, ๒๐ ทวิ, ๒๐ ตรี พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๓, ๔, ๖, ๗ ให้ลงโทษจำคุกฐานขายยาเสพติดให้โทษ ๕ ปี ฐานมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ๕ ปี รวมจำคุก ๑๐ ปี จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพโดยดีเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๕ ปี ของกลางริบ ส่วนจำเลยที่ ๒, ๓ ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ มาตรา ๒๐ ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๖ จำคุก ๕ ปี จำเลยรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ จำนวน ๕ ห่อเล็ก หนัก ๐.๕๓ กรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย (ข้อ ๑ ก.) และร่วมกันขายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวน ๑ ห่อเล็ก หนัก ๐.๑๒ กรัม ที่จำเลยร่วมกันมีไว้ดังกล่าวให้ผู้มีชื่อไป (ข้อ ๑ ข.) จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ ทั้งปรากฏตามทางพิจารณาว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับผู้ซื้อพร้อมด้วยเฮโรอีนอีก ๑ ห่อ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ขายให้ และจับจำเลยที่ ๑ ได้พร้อมด้วยเฮโรอีนของกลาง ๔ ห่อ เห็นได้ว่าการที่จำเลยที่ ๑ ขายเฮโรอีนแก่ผู้อื่นไป ๑ ห่อ ตามฟ้องข้อ ๑ ข. ย่อมเป็นความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนกรรมหนึ่ง กับการที่จำเลยที่ ๑ มีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีก ๔ ห่อตามฟ้องข้อ ๑ ก. จนกระทั่งถูกจับได้พร้อมกับเฮโรอีนดังกล่าว ย่อมเป็นความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายอีกกรรมหนึ่งต่างหาก จากความผิดในฟ้องข้อ ๑ ข. เพราะเห็นเฮโรอีนคนละจำนวนกัน ความผิดดังกล่าวจึงแยกออกได้เป็น ๒ กรรม แต่ละกรรมเป็นความผิดต่างกระทงกัน หาใช่เป็นกรรมเดียวดังความเห็นของศาลอุทธรณ์ไม่ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ มาตรา ๔ ทวิ, ๒๐ ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๔, ๖ ให้ลงโทษเรียงตามกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๒ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ส่วนการกำหนดโทษและลดโทษนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share