คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุ ล. พวกจำเลยมาชวนผู้ตายและ ร. ไปดื่มสุราที่บ้านจำเลยโดยมี ด. พี่ชายจำเลยร่วมดื่มสุราด้วย ขณะดื่มสุราผู้ตายพูดขอไถ่รถจักรยานยนต์ที่จำนำไว้กับ ด. จำเลยไม่ยอมให้ไถ่ หลังจากนั้นจำเลยกับพวกก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้ตาย เมื่อผู้ตายและ ร. วิ่งหนี จำเลยก็ถือขวานวิ่งไล่ตามฟันผู้ตายถูกที่ไหล่ซ้ายและท้ายทอยล้มคว่ำลงเป็นแผลฉกรรจ์เมื่อ ร. ช่วยเหลือนำผู้ตายกลับที่พัก จำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้ ล. นั่งซ้อนท้ายพร้อมมีปืนลูกซองยาวซึ่ง ด. มอบให้ตามไปยิงผู้ตาย ณ ที่พักของผู้ตาย จนถึงแก่ความตายในที่สุด การกระทำของจำเลยส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยกับพวกที่มุ่งมั่นจะเอาชีวิตผู้ตายให้จงได้เป็นพฤติการณ์ที่เข้าลักษณะไตร่ตรองไว้ก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4),33, 83 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 83 ลงโทษประหารชีวิต ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เหตุเกิดในเวลากลางวันประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามปากคือ นางสุพิศ สมทรง ภริยาผู้ตายนางอารมย์ ธิบดี และนายรอบ รัตนบุรี ต่างรู้จักจำเลยมาก่อนปรากฏว่าข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคำเบิกความของพยานทั้งสามปากนี้ฟังได้สอดคล้องต้องกันว่าในวันที่ 18กุมภาพันธ์ 2529 เวลาประมาณ 13.00 นาฬิกา อันเป็นวันเวลาเกิดเหตุนายเล็กไม่ทราบนามสกุลพวกของจำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาชวนนายสมโชค วิพลชัย ผู้ตายไปยังที่พักคนงานกรีดยางในสวนของนายเติม เพื่อให้ผู้ตายไปดื่มสุรากันที่บ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร ผู้ตายและนายรอบพยานโจทก์ซึ่งเป็นคนงานกรีดยางและพักอาศัยอยู่ร่วมกันกับผู้ตายจึงได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับนายเล็ก เมื่อถึงบ้านจำเลยได้ร่วมวงดื่มสุรากันโดยมีจำเลยและนายด้วงพี่ชายจำเลยร่วมดื่มสุราด้วย ในขณะดื่มสุรากันอยู่นั่นเอง ผู้ตายได้พูดขอไถ่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายได้จำนำไว้กับนายด้วง จำเลยไม่ยอมให้ไถ่ และว่าหากต้องการไถ่ผู้ตายจะได้กลับไปแต่ชื่อ หลังจากนั้นจำเลยกับพวกก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้ตาย เมื่อเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นเช่นนั้น ผู้ตายกับนายรอบพยานโจทก์จึงวิ่งหนีออกจากบ้านจำเลยแต่จำเลยก็ยังถือขวานวิ่งไล่ตามฟันผู้ตายถูกที่ไหล่ซ้ายและท้ายทอยล้มคว่ำลงเป็นบาดแผลฉกรรจ์ นายรอบพยานโจทก์ได้พยายามช่วยเหลือนำผู้ตายกลับมาจนถึงที่พัก จำเลยยังได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้นายเล็กนั่งซ้อนท้ายพร้อมกับมีปืนลูกซองยาวเป็นอาวุธซึ่งนายด้วงพี่ชายจำเลยนำมามอบให้ และตามไปยิงผู้ตายจนถึงแก่ชีวิต ณ ที่พักของผู้ตายนั่นเอง ต่อหน้านางสุพิศภริยาและนางอารมย์พยานโจทก์ ทั้งปรากฏว่าก่อนที่จะลงมือยิงผู้ตายซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการประทุษร้ายของจำเลยมาก่อนแล้ว และอยู่ในสภาพที่ไม่อาจช่วยเหลือป้องกันตนเองได้ ผู้ตายได้พูดร้องขอชีวิตพร้อมกับยกมือไหว้ แต่ก็ไม่บังเกิดผลและถูกนายเล็กพวกของจำเลยยิงในระยะประชิดจนถึงแก่ความตายในที่สุด ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจพบจำเลยหลังเกิดเหตุก็มิได้จับตัวจำเลยทันที แต่ต่อมาจึงกลับไปจับกุมจำเลยนับเป็นพิรุธอย่างยิ่งนั้น ได้ความจากพันตำรวจตรีสอาด ใสจุลย์พยานโจทก์ว่าทราบจากนายรอบว่านายหมุ่นเป็นคนร้ายใช้ขวานฟันผู้ตายและขับขี่รถจักรยานยนต์ให้นายเล็กนั่งซ้อนท้ายไปยิงผู้ตายจึงให้นายเนิ่นสารวัตรกำนันพาไปบ้านนายหมุ่นพบนายหมุ่นจำเลยอยู่ในบ้าน ครั้งแรกนายเนิ่นบอกว่าจำเลยชื่อนายวัน พยานจึงเดินเลยไปแต่เมื่อพ้นบ้านจำเลยแล้ว นายเนิ่นจึงบอกว่านายวันกับนายหมุ่นเป็นคนเดียวกัน จึงย้อนไปจับกุมจำเลย เช่นนี้จะถือเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจมิได้จับกุมจำเลยในทันทีที่พบตัวมาเป็นข้อพิรุธดังจำเลยฎีกาไม่ได้
ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า นอกจากเป็นการกระทำอันมีลักษณะเป็นอันธพาลและเหี้ยมโหดทารุณแล้ว ยังส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยกับพวกที่มุ่งมั่นจะเอาชีวิตผู้ตายให้จงได้ จึงเป็นพฤติการณ์ที่เข้าลักษณะไตร่ตรองไว้ก่อนโดยตรง คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ให้ประหารชีวิตจำเลยนั้นชอบแล้ว ไม่มีเหตุผลประการใดที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น…”
พิพากษายืน

Share