คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 929/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจเฝ้าดักจับจำเลยทั้งสองได้ขณะจำเลยทั้งสองขับรถถึงด่านเก็บเงิน และนำไปตรวจค้นพบเฮโรอีน 14 ถุง ต่อมาจึงได้นำจำเลยที่ 1 ไปตรวจค้นที่บ้านพักและพบเฮโรอีนอีกส่วนหนึ่ง แต่ได้มีการสอบสวนโดยแยกสำนวนจากกันเนื่องจากเป็นความผิดคนละกรรมและที่เกิดเหตุอยู่คนละท้องที่ ความผิดของจำเลยที่ 1 ทั้งสองสำนวนจึงเกี่ยวพันที่อาจถูกฟ้องคดีเดียวกันและอาจพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ เมื่อคดีหนึ่งศาลพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต การที่ศาลล่างพิพากษาให้นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากคดีดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบเฮโรอีนและถุงผ้าของกลาง ให้นับโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ในคดีหมายเลขแดงที่ 4430/2530 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุม คำรับเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 25 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษของจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4430/2530 ของศาลชั้นต้น ริบเฮโรอีนและถุงผ้าของกลาง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4430/2530 ของศาลชั้นต้น แต่ให้รวมโทษจำคุก 50 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้ว
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4430/2530 ของศาลชั้นต้น ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ให้จำคุกตลอดชีวิต การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ให้นับโทษจำคุกมีกำหนด 25 ปี ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4430/2530 และศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาแก้นั้น เป็นการไม่ชอบขัดต่อบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาแก้ไขให้เป็นไปตามหลักกฎหมายดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นับโทษจำคุกต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ 4430/2530 ของศาลชั้นต้น แต่จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา คำพิพากษาจึงถึงที่สุด กรณีไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้อีก จึงไม่จำเป็นต้องสั่งคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่า ในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจเฝ้าดักจับจำเลยทั้งสองได้ขณะจำเลยทั้งสองขับรถถึงด่านเก็บเงินอินทร์บุรี และนำไปตรวจค้นพบเฮโรอีน 14 ถุง ต่อมาจึงได้นำจำเลยที่ 1 ไปตรวจค้นที่บ้านพักและพบเฮโรอีนอีกส่วนหนึ่ง แต่มีการสอบสวนโดยแยกสำนวนจากกัน เนื่องจากเป็นความผิดคนละกรรมและที่เกิดเหตุอยู่คนละท้องที่ กรณีความผิดของจำเลยที่ 1 ทั้งสองสำนวนจึงเกี่ยวพันที่อาจถูกฟ้องคดีเดียวกันและอาจพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ เมื่อคดีหนึ่งศาลพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากคดีดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกตลอดชีวิตตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4430/2530 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share