แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมติดต่อค้าขายกับห้าง ส. ซึ่งมีจำเลยเป็นหุ้นส่วนเป็นเวลานานเกือบ 1 ปี การซื้อขายครั้งแรก ๆ โจทก์ร่วมก็ได้รับชำระหนี้แล้ว ส่วนการซื้อขายสองครั้งหลังที่เกิดเหตุ จำเลยก็มิได้ปฎิเสธ ว่ามิได้ซื้อหรือมิได้เป็นหนี้โจทก์ร่วมโดยรับว่าเป็นหนี้อยู่จริง แต่ขอประนอมหนี้โดยขอชำระหนี้เพียงร้อยละ 15โจทก์ร่วมเองก็ยอมรับว่าห้าง ส. เป็นหนี้ซื้อไม้จากโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนิติสัมพันธ์ในทางแพ่ง ดังนั้น การที่ห้าง ส. ซื้อไม้ครั้งเกิดเหตุแล้วไม่ชำระราคาแก่โจทก์ร่วมจึงเป็นเพียงการผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83 นับโทษจำเลยทั้งสองสำนวนต่อกัน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ในสำนวนแรก 200,000 บาท และในสำนวนหลัง 263,900 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามรัฐภาพ ผู้เสียหายทั้งสองสำนวนยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83 ลงโทษจำคุกสำนวนละ 9 เดือน รวมสองสำนวนลงโทษจำคุก18 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ในสำนวนแรก 200,000 บาทและในสำนวนหลัง 263,900 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ได้ความตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์ที่จำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ได้ติดต่อซื้อไม้แปรรูปจากโจทก์ร่วมตั้งแต่ปี 2524 การค้าขายช่วงแรกไม่มีปัญหา เช็คที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์สั่งจ่ายชำระค่าไม้เรียกเก็บเงินได้ เริ่มมีปัญหาเมื่อต้นปี 2525 โดยในเดือนมกราคม 2525 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์สั่งซื้อไม้จากโจทก์ร่วม 2 ครั้ง ครั้งแรกจำนวน 1,490 ลูกบาศก์ฟุต คิดเป็นเงิน200,000 บาท ครั้งที่สองจำนวน 1,966 ลูกบาศ์กฟุต คิดเป็นเงิน263,900 บาท จำเลยบอกให้นายวิทยาสั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ร่วม 3 ฉบับแต่เมื่อเช็คทั้ง 3 ฉบับถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ร่วมทวงถามจำเลยขอผัดผ่อนและให้นายวิทยาจ่ายเช็คให้ใหม่อีก3 ฉบับ เป็นเช็คธนาคากรุงเทพ จำกัด สาขาสะพานเหลือง ทั้ง 3 ฉบับแต่เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอีก ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.7 ต่อมานายวิทยาหลบหนีไป จำเลยนัดบรรดาเจ้าหนี้ไปประนอมหนี้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์มีหนี้ประมาณ10 ล้านบาทเศษ จำเลยขอชดใช้เงินร้อยละ 15 ของยอดหนี้แต่ละรายเห็นว่า โจทก์ร่วมติดต่อค้าขายกับห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์เป็นเวลานานเกือบ 1 ปี การซื้อขายครั้งแรก ๆ โจทก์ร่วมก็ได้รับชำระหนี้แล้ว ส่วนการซื้อขาย 2 ครั้งหลังที่เกิดเหตุจำเลยก็มิได้ปฏิเสธว่ามิได้ซื้อหรือมิได้เป็นหนี้โจทก์ร่วมโดยรับว่าเป็นหนี้อยู่จริง แต่ขอประนอมหนี้โดยขอชำระหนี้เพียงร้อยละ 15 ประกอบกับได้ความตามคำแก้ฎีกาของโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมได้นำหนี้ซื้อขายครั้งที่เกิดเหตุไปฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์กับนายวิทยาเป็นคดีล้มละลายอีกคดีหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าฝ่ายโจทก์ร่วมเองก็ยอมรับว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์เป็นหนี้ซื้อไม้จากโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนิติสัมพันธ์ในทางแพ่ง นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนางสาวนี แซ่เจีย นางอิ่มใจ เลาหะพิทักษ์วร และนายสันต์ จึงวัฒนาตระกูล พยานโจทก์ว่าเคยซื้อไม้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์ไปขายหลายครั้งและติดต่อค้าขายกันนานเป็นปีทำให้เห็นว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์ได้ประกอบธุรกิจซื้อขายไม้เป็นปกติ ดังนั้น การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์ซื้อไม้ครั้งเกิดเหตุแล้วไม่ชำระราคาแก่โจทก์ร่วมจึงเป็นเพียงการผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น ที่โจทก์และโจทก์ร่วมอ้างว่าจำเลยนำไม้ไปขายในราคาต่ำกว่าทุนเช่นไม้แคมปัสราคาตลาดลูกบาศก์ฟุตละ110 บาท จำเลยขาย 105 บาท ไม้เต็งราคาตลาดลูกบาศก์ฟุตละ 140 บาทแต่จำเลยขายในราคา 135 บาท นั้น ก็มิใช่ราคาต่ำมากกับได้ความจากคำเบิกความของนายสันต์ พยานโจทก์ว่า หากชำระเงินสดซึ่งทั้งการสั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าในระยะเวลาสั้น ๆ ผู้ขายไม้จะลดราคาไม้ให้ลูกบาศก์ฟุตละ 5 บาท ถ้าใช้เครดิตก็ไม่ได้รับส่วนลด ความข้อนี้นายสมเกียรติพยานโจทก์อีกปากหนึ่งสนับสนุนว่า ผู้ซื้อจะได้รับส่วนลดพิเศษเฉพาะกรณีชำระราคาด้วยเช็คล่วงหน้าในระยะเวลาสั้นเท่านั้นแสดงให้เห็นว่า จำเลยลดราคาไม้ในกรณีที่เป็นการซื้อขายเงินสดหรือชำระเงินในช่วงระยะเวลาอันสั้น ซึ่งทำให้จำเลยสามารถนำเงินสดไปหมุนเวียนหาประโยชน์ในทางอื่น อันเป็นเรื่องปกติในทางการค้าจึงมิใช่ข้อพิรุธที่จะส่อว่าจำเลยกระทำเพื่อฉ้อโกงโจทก์ร่วม ส่วนที่โจทก์และโจทก์ร่วมอ้างว่าจำเลยเก็บเช็คจากลูกค้าแล้วนำเข้าบัญชีของบิดาจำเลยนั้น จำเลยก็นำสืบต่อสู้ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์โดยนายวิทยาเป็นหนี้แลกเช็คกับบิดาจำเลย บิดาจำเลยได้โอนเงินเข้าบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์ ตามเอกสารหมาย ล.3 ถึง ล.5 จำเลยจึงนำเช็คของลูกค้ามอบให้บิดาเพื่อชำระหนี้ และที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์มีทุนจดทะเบียนเพียง 45,000 บาท แต่มีหนี้สินถึง 10 ล้านบาทเศษก็อาจเป็นเพราะการค้าได้ขยายตัวออกไป เหตุที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามบิลด์เดอร์ไม่มีเงินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ อาจจะเป็นเรื่องในความรับผิดชอบของนายวิทยาหุ้นส่วนผู้จัดการที่หลบหนีไปก็ได้จะฟังว่าจำเลยเจตนาไม่ชำระค่าไม้ตั้งแต่ต้นยังไม่ถนัด…พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่พอรับฟังเป็นมั่นคงว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง…”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน.