แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปที่กลุ่มผู้เสียหายซึ่งอยู่ห่าง 1 วาเศษ กระสุนปืนถูกพวกผู้เสียหายที่เท้า ทั้งปรากฏว่าหลังจากยิงนัดแรกแล้วยังมีการยิงต่อไปอีก 4 นัด แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกที่หลบหนีอีก 3 คน โดยเจตนาฆ่าได้บังอาจร่วมกันใช้ปืนเป็นอาวุธยิงนายกมล อินถา นายสำลี อินทร์ปัญญา นายถาวร ผิวอ่อนนายบัวลอย คำทองและนายวัฒนา รักษาบุญ หลายนัด กระสุนปืนที่จำเลยกับพวกร่วมกันยิงถูกนายกมล อินถา กับพวกดังกล่าวที่ร่างกายเป็นบาดแผล แต่เนื่องจากกระสุนปืนที่จำเลยกับพวกร่วมกันยิงดังกล่าวไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จำเลยกับพวกจึงฆ่านายกมล อินถา กับพวกดังกล่าวไม่สำเร็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83 และสั่งริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297, 83 ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี ของกลางริบ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ให้จำคุก 10 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก จำเลย 6 ปี 8 เดือน ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า จำเลยร่วมกับพวกยิงผู้เสียหายด้วย การที่จำเลยกับพวกใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปที่กลุ่มผู้เสียหายซึ่งอยู่ห่าง 1 วาเศษ แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่า ที่กระสุนปืนถูกพวกผู้เสียหายที่เท้าอาจเป็นเพราะเหตุดังปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีวันชัย กุสุมภ์ ที่ว่าปืนลูกซองพกมีแรงสะบัดมาก ยกยิงระดับเอววิถีกระสุนอาจลงต่ำถูกเท้าได้ ทั้งปรากฏว่าหลังจากยิงนัดแรกแล้วยังมีการยิงต่อไปอีก 4 นัด เห็นได้ว่ามีเจตนาฆ่าโดยแท้ ฯลฯ
พิพากษายืน