คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9259/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญากับโจทก์ซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพทนายความว่าจำเลยว่าจ้างสำนักงานทนายความ บ.ว่าความเรียกร้องที่ดินคืนจาก พ. ทั้งนี้จำเลยให้สำนักงานทนายความ บ. โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นไปก่อน หากได้เงินหรือที่ดินคืน จำเลยจะใช้คืนและจะให้บำเหน็จค่าจ้าง โดยหากได้ที่ดินกลับคืนมาจำนวน 5 ไร่เศษ จะแบ่งที่ดินให้จำนวน 2 ไร่หากได้ที่ดินน้อยกว่านี้จะแบ่งให้ลดหย่อนลงตามส่วนสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาระหว่างโจทก์ผู้แทนสำนักงานทนายความ บ. กับจำเลยโจทก์จึงเป็นผู้ทำสัญญาดังกล่าวแทนทนายความในสำนักงานทนายความ บ.แม้ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528มาตรา 27(3)(จ) และมาตรา 51 จะมิได้มีข้อห้ามทนายความเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ตาม แต่การเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีดังกล่าวเป็นการให้ทนายความเข้าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีทำนองเป็นการซื้อขายความกันและเป็นการยุยงส่งเสริมให้เป็นความกันสัญญาดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เดิมที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์เรียกร้องขอคืนที่ดินโฉนดเลขที่ 3044 แขวงบางบอน เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยทำนิติกรรมยกเฉพาะส่วนของจำเลยจำนวนเนื้อที่ 5 ไร่เศษให้แก่นายเพิด โดยโจทก์จำเลยตกลงกันว่าถ้าโจทก์เรียกร้องที่ดินกลับคืนมาจากนายเพิดได้จำนวน 5 ไร่เศษ จำเลยจะแบ่งให้โจทก์2 ไร่ แต่ถ้าได้น้อยกว่านี้เท่าใดให้ลดหย่อนลงตามส่วนโดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งสิ้นโจทก์ติดต่อให้นายเพิดคืนที่ดินแก่จำเลยได้จำนวน 2 ไร่ต่อมาได้มีการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3044 ซึ่งส่วนของจำเลยจำนวน 2 ไร่ คิดเป็นเงิน5,096,073.50 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งสองในห้าส่วนของจำนวนเงินที่จำเลยได้รับจากการขายที่ดินคิดเป็นเงิน 1,702,955 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,702,955 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาว่าจ้างตามฟ้องจริงแต่ความสำเร็จของงานไม่ได้เกิดจากการกระทำของโจทก์เพราะจำเลยเป็นผู้ไปติดตามทวงถามที่ดินคืนจากนายเพิดด้วยตนเอง สัญญาว่าจ้างเป็นการแบ่งส่วนเอาจากทรัพย์สินที่พิพาทเป็นโมฆะ เพราะมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวที่ตั้งสำนักงานบางบอนทนายความและธุรกิจ โจทก์ไม่ได้ประกอบอาชีพทนายความ จำเลยได้มาหาโจทก์และทำสัญญากับโจทก์ตามหนังสือสัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความสาระสำคัญว่า”จำเลยขอทำสัญญาว่าจ้างให้สำนักงานบางบอนทนายความและธุรกิจเข้าว่าความเรียกร้องขอคืนทรัพย์หรือเรียกทรัพย์มรดกจากนายเพิดคือที่ดินโฉนดเลขที่ 3044 ดังกล่าวตามส่วนที่จำเลยยกให้แก่นายเพิดไปทั้งหมดทั้งนี้จำเลยให้สำนักงานบางบอนทนายความและธุรกิจโดยโจทก์เป็นผู้ดำเนินการออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นไปก่อนหากได้เงินหรือที่ดินคืน จำเลยจะใช้คืนจะให้บำเหน็จค่าจ้างในการนี้โดยหากได้ที่ดินกลับคืนมาจำนวน 5 ไร่เศษจะแบ่งที่ดินให้จำนวน 2 ไร่ หากได้ที่ดินน้อยกว่านี้จะแบ่งให้ลดหย่อนลงตามส่วนที่กำหนดไว้นี้” โจทก์จึงไปติดตามทวงถามขอคืนที่ดินจากนายเพิดแทนจำเลยหลายครั้งนายเพิดตกลงยอมคืนที่ดินจำนวน 2 ไร่ แก่จำเลยโดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยยังไม่ได้ชำระสินจ้างตามสัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.1 ให้แก่โจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า สัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.1 เป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า สัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.1 เป็นสัญญาระหว่างโจทก์ผู้แทนสำนักงานบางบอนทนายความและธุรกิจผู้รับจ้างกับจำเลยผู้ว่าจ้างโจทก์จึงเป็นผู้ทำสัญญาดังกล่าวแทนทนายความในสำนักงานบางบอนทนายความและธุรกิจ ดังนี้ แม้ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติทนายความพ.ศ. 2528 มาตรา 27(3)(จ) และมาตรา 51 จะมิได้มีข้อห้ามทนายความเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความอันเป็นเหตุให้สัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.1 ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ตามแต่การเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีดังกล่าวเป็นการให้ทนายความเข้าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีทำนองเป็นการซื้อขายความกัน และเป็นการยุยงส่งเสริมให้เป็นความกันสัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.1 จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เดิม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น โจทก์จึงฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.1 หาได้ไม่
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share