แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ไปติดต่อขอซื้อเชื้อน้ำมันจากโจทก์ โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อแต่ต้องมีธนาคารค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ออกหนังสือค้ำประกันชำระราคาค่าน้ำมันของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์และมอบให้ บ.รับไป ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 นำหนังสือค้ำประกันมีลายมือชื่อผู้ค้ำประกันปลอมไปมอบให้โจทก์ โจทก์เข้าใจว่าเป็นหนังสือค้ำประกันฉบับที่แท้จริงของจำเลยที่ 2 จึงให้จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อน้ำมันไป ต่อมา บ.นำหนังสือค้ำประกันฉบับที่แท้จริงไปคืนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 สอบถามไปยังโจทก์ โจทก์แจ้งว่าหนังสือค้ำประกันของจำเลยอยู่ที่โจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ชำระราคาน้ำมัน โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว ดังนี้ เมื่อโจทก์กล่าวมาในฟ้องแจ้งชัดขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันฉบับที่แท้จริง จำเลยที่ 2 ก็รับว่าได้ออกหนังสือค้ำประกันฉบับที่แท้จริงแก่โจทก์ทั้งโจทก์ยังได้อ้างส่งหนังสือค้ำประกันฉบับนั้นเป็นพยานต่อศาลในชั้นพิจารณาด้วย แม้โจทก์จะคัดสำเนาหนังสือค้ำประกันฉบับที่จำเลยที่ 1 นำมามอบแก่โจทก์อันเป็นสัญญาค้ำประกันปลอม ซึ่งมีข้อความตรงกันกับหนังสือค้ำประกันฉบับที่แท้จริงแนบมาท้ายฟ้อง ก็หามีผลให้เข้าใจว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันปลอมไม่ ถือได้ว่าการฟ้องคดีของโจทก์มีหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 680 วรรคท้ายแล้ว
โดยที่หนังสือค้ำประกันข้อ 1 มีข้อความว่า”ตามที่นายป๊วยเคี้ยว แซ่ก้วย สำนักงานเลขที่ ฯลฯ จะซื้อน้ำมันจากบริษัท ฯ ไปจำหน่าย ธนาคารขอเข้ารับภาระค้ำประกันชำระเงินดังกล่าว ภายในวงเงินไม่เกิน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน)” และข้อ 3 มีข้อความว่า “หนังสือค้ำประกันฉบับนี้ให้มีผลบังคับได้ สำหรับการส่งมอบสินค้าของบริษัทฯ ทุกอย่างซึ่งได้กระทำกันระหว่างวันที่ 1 เดือนมีนาคม พ.ศ.2515 ถึงวันที่ 1 เดือนกันยายน 2515” อันเป็นเรื่องจำเลยที่ 2 แสดงเจตนาผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าน้ำมันของจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ตกลงขายและส่งมอบน้ำมันแก่จำเลยที่ 1 ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว สัญญาค้ำประกันย่อมเกิดขึ้นมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันกับจำเลยที่ 1 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2523)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ติดต่อขอทราบรายละเอียดการซื้อเชื่อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ โจทก์แจ้งว่าจะให้ซื้อเชื่อในวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดชำระไม่เกิน ๔๕ วันนับแต่วันซื้อน้ำมันแต่ละครั้ง โดยจำเลยที่ ๑ ต้องมีหนังสือค้ำประกันของธนาคารมาค้ำประกันการซื้อเชื่อ ต่อมาวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ นำหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ เลขที่ ส.ย.๐๕๕/๒๕๑๕ ลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๕ ตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมาย ๒ มาให้โจทก์ เพื่อค้ำประกันการซื้อเชื่อน้ำมันของจำเลยที่ ๑ โจทก์สอบถามไปยังจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ รับว่าได้ออกหนังสือค้ำประกันฉบับดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เพื่อค้ำประกันการซื้อน้ำมันจากโจทก์ โจทก์เชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ออกหนังสือค้ำประกันให้จริง จึงตกลงขายน้ำมันให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามภาพถ่ายใบขอสินเชื่อท้ายฟ้องหมาย ๓ ในวันที่ ๖, ๙ และ ๑๐ มีนาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ซื้อน้ำมันเบนซิน น้ำมันเบนซินซุปเปอร์และน้ำมันดีเซลไปจากโจทก์ รวมเป็นเงิน ๑,๔๖๓,๑๕๐ บาท และออกเช็คธนาคารเอเซียทรัสต์ จำกัด ลงวันที่ล่วงหน้า ๔๕ วันให้โจทก์ได้รวม ๓ ฉบับตามภาพถ่ายใบสั่งสินค้าและเช็คท้ายฟ้องหมาย ๔ ถึง ๙ ครั้นวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๒ แจ้งโจทก์ว่ามีผู้นำสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ ที่ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ มาคืนให้จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้อยู่ ๑,๔๙๙,๕๕๐ บาท และหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ ก็ยังอยู่ที่โจทก์ จำเลยที่ ๑ มีหนังสือยืนยันว่าได้รับหนังสือค้ำประกันคืนแล้ว ต่อมาโจทก์นำเช็คค่าน้ำมัน ๓ ฉบับไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ ๒ ให้ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ แจ้งว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะต้องรับผิดแทนจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๒ ออกหนังสือโดยเจตนาที่จะค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ทั้งยอมรับถึงความผูกพันที่มีต่อโจทก์ตลอดมา สัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ ต่อโจทก์ได้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิด ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑,๔๖๓,๑๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ๒๒,๘๖๐ บาท ๗๐ สตางค์ กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ เคยออกหนังสือประกันเลขที่ ศ.ย. ๐๕๕/๒๕๑๕ ลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๕ เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ ที่จะซื้อน้ำมันจากโจทก์ในวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีเงื่อนไขและกำหนดเวลาเช่นเดียวกับเอกสารท้ายฟ้องหมาย ๒ นายบุ้นผู้ทำสัญญาค้ำประกันความเสียหายของจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันไปจากจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๑๕ แต่จำเลยที่ ๑ หรือนายบุ้นมิได้นำหนังสือค้ำประกันไปมอบให้โจทก์ และได้นำกลับมาคืนจำเลยที่ ๒ ในเวลาต่อมา จำเลยที่ ๒ รับคืนไว้โดยสุจริตจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ตามหนังสือค้ำประกันนั้น หนังสือค้ำประกันท้ายฟ้องหมาย ๒ เป็นเอกสารปลอมโจทก์มิได้สอบถามจำเลยที่ ๒ ไม่เคยนำมาให้จำเลยที่ ๒ ตรวจสอบหรือรับรอง จำเลยที่ ๒ ก็ไม่เคยยินยอมรับว่าเป็นหนังสือค้ำประกันที่ออกให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ เป็นผู้นำไปมอบให้โจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ ไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย โจทก์จะอาศัยหนังสือค้ำประกันท้ายฟ้องอันเป็นผลมาจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ ก่อตั้งสิทธิเรียกร้องจำเลยที่ ๒ ไม่ชอบ นอกจากนั้นแม้จำเลยที่ ๑ จะได้รับหนังสือค้ำประกันฉบับที่แท้จริงไปเพื่อมอบโจทก์ โจทก์จะถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนในการสนองรับเจตนาของจำเลยที่ ๒ ไม่ได้เพราะจำเลยที่ ๑ มิใช่ตัวแทนของโจทก์หรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ การที่จำเลยที่ ๒ รับหนังสือค้ำประกันฉบับที่แท้จริงคืน ภาระหนี้สินตามหนังสือค้ำประกันย่อมยกเลิกเพิกถอนและภาระผูกพันระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ไม่เกิดขึ้น จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑,๔๖๓,๑๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕ อันเป็นวันผิดนักจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่าไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาต่อมา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ไปติดต่อขอซื้อเชื่อน้ำมันจากโจทก์ โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ ๑ ซื้อเชื่อในวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ต้องมีธนาคารค้ำประกัน วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๕ นายบุ้นไปติดต่อธนาคารจำเลยที่ ๒ สาขาสามแยก ขอให้ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ ๑ นายบุ้นนำเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ฝากธนาคารจำเลยที่ ๒ เพื่อเป็นประกันความเสียหายแก่จำเลยที่ ๒ จำเลยที ๒ ออกหนังสือค้ำประกันเลขที่ สย.๐๕๕/๒๕๑๕ ลงวันที่ ๑ มีนาคม ตามเอกสาร จ.๕ แผ่นที่ ๑๒ ให้แก่จำเลยที่ ๑ ค้ำประกันการชำระเงินของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ภายในวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาทสำหรับการส่งมอบสินค้าของโจทก์ซึ่งได้กระทำระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๕ ถึงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๒ มอบหนังสือค้ำประกันให้นายบุ้นรับไป ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ นำหนังสือค้ำประกันมีลายมือชื่อผู้ค้ำประกันปลอมตามเอกสาร จ.๕ แผ่นที่ ๑๓ ไปมอบให้โจทก์ หนังสือค้ำประกันปลอมมีเลขที่หนังสือและข้อความตรงกับหนังสือค้ำประกันที่แท้จริง วันที่ ๖, ๙ และ ๑๐ มีนาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ซื้อเชื่อน้ำมันเบนซิน น้ำมันเบนซินซุปเปอร์และน้ำมันดีเซลไปจากโจทก์ รวมเป็นเงิน ๑,๕๖๓,๑๕๐ บาท โดยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าน้ำมันลงวันที่ล่วงหน้าให้โจทก์รวม ๓ ฉบับแต่ปรากฏว่าขึ้นเงินไม่ได้วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๕ นายบุ้นนำหนังสือค้ำประกันฉบับที่แท้จริงไปคืนจำเลยที่ ๒ อ้างว่าจำเลยที่ ๑ เอาหลักทรัพย์ของญาติไปวางไว้กับโจทก์ ขอเงินประกันความเสียหายที่ฝากไว้ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาทคืน นายวัลลภผู้ช่วยหัวหน้ากองบัญชีของจำเลยที่ ๒ สงสัยสั่งให้ระงับการคืนหลักทรัพย์ไว้ก่อน และสอบถามไปยังโจทก์ โจทก์แจ้งว่าหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ ยังอยู่ที่โจทก์ เจ้าหน้าที่ของโจทก์นำหนังสือค้ำประกันที่รับไว้จากจำเลยที่ ๑ ไปตรวจสอบที่ธนาคารจำเลยที่ ๒ ปรากฏว่าหนังสือค้ำประกันปลอม โจทก์และจำเลยที่ ๒ ต่างแจ้งความพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีเกี่ยวกับเอกสารปลอม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาว่าจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์ กล่าวมาให้ฟ้องแจ้งชัดขอให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามหนังสือประกันฉบับเลขที่ สย. ๐๕๕/๒๕๑๕ ลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๕ อันหมายถึงสัญญาค้ำประกันฉบับที่แท้จริง จำเลยที่ ๒ ก็ให้การยอมรับ ได้ออกหนังสือค้ำประกันฉบับเลขที่ตามฟ้องแก่โจทก์ ทั้งโจทก์ยังได้อ้างส่งหนังสือค้ำประกันฉบับที่แท้จริงเป็นพยานต่อศาลคือเอกสาร จ.๕ แผ่นที่ ๑๒ กรณีเช่นนี้แม้โจทก์จะคัดสำเนาหนังสือประกันฉบับที่แท้จริงแนบมาฟ้องท้าย ก็หามีผลให้เข้าใจว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญาค้ำประกันปลอมไม่ การฟ้องคดีของโจทก์มีหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันตามเอกสาร จ.๕ เล่มที่ ๑๒ ถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ วรรคท้าย โดยที่หนังสือค้ำประกันข้อ ๑ มีข้อความว่า “ตามที่นายป๊วยเคี้ยว แซ่ก๊วย สำนักงานเลขที่ ฯลฯ จะซื้อน้ำมันจากบริษัท ไปจำหน่าย ธนาคารขอเข้ารับภาระค้ำประกันชำระเงินดังกล่าวภายในวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน)” และข้อ ๓ มีข้อความว่า “หนังสือค้ำประกันนี้ให้มีผลบังคับได้ สำหรับการส่งมอบสินค้าของบริษัทฯ ทุกอย่างซึ่งได้กระทำกันระหว่างวันที่ ๑ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ถึงวันที่ ๑ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๑๕” อันเป็นเรื่องจำเลยที่ ๒ แสดงเจตนาผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าน้ำมันจากจำเลยที่ ๑ เมื่อโจทก์ตกลงขายและส่งมอบน้ำมันแก่จำเลยที่ ๑ ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว สัญญาค้ำประกันย่อมเกิดขึ้นมี+ผูกพันจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ รับคืนหนังสือประกันมาคืนจำเลยที่ ๒ กลับสั่งให้ระงับการคืนหลักทรัพย์แก่นายบุ้น ทั้งยังสอบถามโจทก์เกี่ยวกับหนังสือค้ำประกัน อันเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๒ ที่จะค้ำประกันการชำระหนี้โจทก์อยู่การค้ำประกันจึงหาได้ยกเลิกไม่
พิพากษายืน