คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อ 31 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ระบุโยงไปให้ใช้พระราชบัญญัติการบัญชี พุทธศักราช 2482 บังคับในกรณีที่ยังไม่มีประกาศของรัฐมนตรีกำหนดธุรกิจที่ต้องจัดทำบัญชี ออกอตามข้อ 5 ของประกาศคณะปฏิวัติดังกล่าวใช้บังคับ ซึ่งพระราชบัญญัติการบัญชีฯ มาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบัญชี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 มาตรา 3 ก็บัญญัติให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า กิจการประเภทใด ในท้องที่ใด ที่จะต้องทำบัญชีขึ้น หาใช่ว่าบุคคลผู้ประกอบกิจการทุกประเภทจะต้องจัดทำบัญชีไม่ เหตุนี้ เมื่อฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่ารัฐมนตรีผู้มีอำนาจที่ได้ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้มีการจัดทำบัญชีสำหรับการประกอบกิจการในประเภทที่โจทก์ฟ้องให้เป็นการถูกต้องตามข้อ 31 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติการบัญชีฯ ดังกล่าวแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดความสำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ลงโทษจำเลยไม่ได้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีสามแยกพานิช จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ประกอบกิจการค้าในประเภทที่ต้องจัดทำบัญชีตามกฎหมาย และมีหน้าที่ทำบัญชีตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๕ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๖ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันลงรายการเท็จในบัญชี ในการประกอบกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดของจำเลยดังกล่าว โดยเอารายการขายสินค้าของบัญชีขายของเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ๒๕๑๕ จำนวน ๕ รายการ เป็นเงิน ๑๒,๔๐๐ บาท และจำนวน ๑๓ รายการ รวมเป็นเงิน ๓๔,๙๘๐ บาท ไปลงเป็นรายการขายสินค้าในบัญชีของเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ๒๕๑๖ อันเป็นการลงรายการเท็จในบัญชีขาย ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันละเว้นการลงรายการในบัญชีในการประกอบกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยดังกล่าว โดยละเว้นการลงรายการขายสินค้าในบัญชีขายของเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ๒๕๑๖ รวมทั้งสิ้น ๕ รายการ เป็นเงิน ๑๐,๙๐๐ บาท อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๕ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๕ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้อ ๓๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ ให้ปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๖ เดือน ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ขอให้ลงโทษเบาลง และรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นผิดตามฟ้อง จะต้องเป็นบัญชีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนดให้มีการจัดทำสำหรับการประกอบธุรกิจใด ๆ เป็นปกติ ในประเภทที่กล่าวไว้ในข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๕ เสียก่อน และการกำหนดนั้นจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องในข้อดังกล่าว ฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อความสำคัญอันเป็นองค์ประกอบความผิด แม้จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ ก็ลงโทษจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ กรณีเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ย่อมมีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ ๑ ที่มิได้อุทธรณ์ด้วย พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุยังไม่มีประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำหนดธุรกิจที่ต้องจัดทำบัญชี ซึ่งออกตามข้อ ๕ ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๕ ใช้บังคับตามข้อ ๓๑ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับดังกล่าว ระบุโยงให้ไปใช้พระราชบัญญัติการบัญชี พุทธศักราช ๒๔๘๒ บังคับ พระราชบัญญัติการบัญชีดังกล่าว มาตรา ๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบัญชี (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๓ ก็ได้บัญญัติให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาเช่นเดียวกันว่า กิจการประเภทใด ในท้องที่ใดจะต้องทำบัญชี หาใช่ว่าบุคคลผู้ประกอบกิจการทุกประเภทจะต้องจัดทำบัญชีนั้นไม่ เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องว่ารัฐมนตรีผู้มีอำนาจหน้าที่ได้ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้มีการจัดทำบัญชีสำหรับการประกอบกิจการในประเภทที่โจทก์ฟ้องให้เป็นการถูกต้องตามข้อ ๓๑ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๕ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติการบัญชี พุทธศักราช ๒๔๘๒ มาตรา ๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบัญชี (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๓ ฟ้องโจทก์จึงขาดข้อความสำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ลงโทษจำเลยไม่ได้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share