แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดีได้นั้นจะต้องเป็นบุคคลดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (11) และคำว่าบุคคลนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แต่คณะบุคคลกรุงเทพฯ กรีฑา จำเลยที่ 1 เป็นเพียงคณะบุคคลหรือกลุ่มบุคคล มิใช่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดชำระหนี้ภาษีการค้าได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ถึงจำเลยที่ ๘ กับพวกประกอบการค้าที่ดินในนามบริษัทกรุงเทพฯ กรีฑา จำกัด ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงเป็นการประกอบการค้าโดยคณะบุคคลกรุงเทพฯ กรีฑา จำเลยที่ ๑ ซึ่งมิใช่นิติบุคคล มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ ประกอบการค้าโดยมิได้จดทะเบียนการค้า และไม่ได้เสียภาษีการค้า เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงให้จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ผู้จัดการชี้แจงและแสดงบัญชีหลักฐานการค้า ปรากฏว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ถึง ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ จะต้องเสียภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวม ๙,๓๔๗,๓๐๐ บาท ๗๒ สตางค์ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยชำระภาษีเป็นเงิน ๔,๖๔๑,๖๓๓ บาท ๘๘ สตางค์ แต่จำเลยไม่ยอมชำระ ขอให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๘ ร่วมกันชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒ ถึงจำเลยที่ ๘ ส่วนจำเลยที่ ๑ สั่งไม่รับฟ้อง อ้างว่ามิได้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดี กล่าวคือเป็นผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาลได้นั้น จะต้องเป็นบุคคลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑ (๑๑) ว่า “คู่ความ หมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ฯลฯ” และคำว่าบุคคลนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สำหรับคณะบุคคลกรุงเทพฯ กรีฑา จำเลยที่ ๑ นั้นมิใช่บุคคลธรรมดา เพราะเป็นเพียงคณะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเท่านั้น และคณะบุคคลกรุงเทพฯ กรีฑา จำเลยที่ ๑ ก็มิใช่นิติบุคคล เพราะโจทก์ยอมรับในคำฟ้องอยู่แล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ มิใช่บุคคลไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้ โจทก์จึงไม่สามารถฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้รับผิดได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า คำว่าบุคคลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มีความหมายกว้างขวางกว่าคำว่าบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ ถึงมาตรา ๔๔ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓๔ ถึงมาตรา ๑๗๔๔ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๘๒ ถึงมาตรา ๘๗ บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนและบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตลอดจนอ้างคำพิพากษาฎีกาว่าตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ก็เป็นคู่ความได้นั้น เห็นว่าไม่ตรงกับรูปเรื่องในคดีนี้ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวนั้นมิใช่บทบัญญัติว่าด้วยบุคคลโดยตรง หรือที่บัญญัติเกี่ยวด้วยนิติบุคคลเช่นบทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนบริษัทก็บัญัติไว้ชัดเจนในมาตรา ๑๐๑๕ ว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจะเป็นนิติบุคคลได้จะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายเสียก่อน และคำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างว่าตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ก็เป็นคู่ความได้นั้น ก็เป็นเรื่องตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างหากที่เป็นคู่ความได้ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์อ้างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง (ร.ส. ๑๒๗) พ.ศ. ๒๔๕๑ มาตรา ๒๓ ให้ฟ้องนามสมญาหรือยี่ห้อของหุ้นส่วนได้นั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พุทธศักราช ๒๔๗๗ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังมิได้อีกเช่นกัน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย
พิพากษายืน