คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9213/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งห้ากล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลาที่ยื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าขอความกรุณาศาลขยายระยะเวลายื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับออกไปมีกำหนด30วันนับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นฎีกาทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเห็นว่าแม้ในคำร้องของจำเลยทั้งห้าจะขอขยายระยะเวลาแต่คงมิได้หมายความถึงการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23ซึ่งเป็นเรื่องที่จะทำได้เฉพาะเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษจำเลยทั้งห้าประสงค์เพียงขอให้ศาลชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลายื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับให้ใหม่และศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้เวลาแก่จำเลยทั้งห้าโดยให้ยื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับได้ภายในวันที่31ตุลาคม2538ซึ่งจำเลยทั้งห้าก็ได้ยื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับภายในกำหนดดังกล่าวดังนี้คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ตามคำฟ้องมีข้อความตอนหนึ่งว่าฉ.ขอยืมเงินจำเลยที่1และที่2ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วทำสัญญายกที่ดินพิพาทให้แก่ทายาทคนละ14ไร่1งานโดยให้ทายาททุกคนชำระเงินคนละ4,400บาทแก่จำเลยที่1และที่2หลังจากนั้นฉ. จึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่1และที่2ต่อมาเมื่อโจทก์ทั้งสี่ทราบถึงสัญญาจึงไปขอรับชำระหนี้แต่จำเลยที่1และที่2บ่ายเบี่ยงไม่ยอมแบ่งให้โดยโจทก์ทั้งสี่ได้แนบสำเนาสัญญาเอกสารหมายจ.1มาท้ายคำฟ้องด้วยจากถ้อยคำในคำฟ้องและสำเนาสัญญาเอกสารหมายจ.1ซึ่งเป็นเอกสารท้ายฟ้องแสดงให้เห็นว่าฉ. กับจำเลยที่1และที่2ได้ทำสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกตามเอกสารหมายจ.1การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกจึงมิใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น สัญญาเอกสารหมายจ.1มีข้อความระบุว่าโจทก์ที่1ถึงที่3และช.จะต้องนำเงินคนละ4,400บาทไปชำระให้แก่จำเลยที่1และที่2ภายใน5ปีนับแต่วันทำสัญญาเสียก่อนแล้วจำเลยที่1และที่2จึงจะแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่2ที่3และช.บิดาโจทก์ที่4ซึ่งได้ทราบถึงข้อกำหนดในสัญญาแล้วแต่มิได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่1และที่2ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาเอกสารหมายจ.1และเสนอชำระเงินคนละ4,400บาทภายในกำหนด5ปีนับแต่วันทำสัญญาโจทก์ที่2ที่3และโจทก์ที่4บุตรของช. จึงหมดสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่1และที่2แบ่งที่ดินพิพาทให้ตามสัญญาสำหรับโจทก์ที่1แม้จะได้ไปยื่นคำขออายัดที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภายในกำหนด5ปีนับแต่วันทำสัญญาเอกสารหมายจ.1ก็ตามแต่คำขออายัดดังกล่าวมีข้อความเพียงว่าจำเลยที่1และที่2สัญญาจะแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ที่1ภายในกำหนด5ปีบัดนี้จะครบกำหนด5ปีแล้วก็ยังไม่ยินยอมแบ่งให้โจทก์ที่1จึงขออายัดที่ดินพิพาทเพื่อจะไปฟ้องร้องโดยไม่มีข้อความว่าโจทก์ที่1ได้ชำระหรือเสนอจะชำระเงิน4,400บาทให้แก่จำเลยที่1และที่2ตามข้อกำหนดในสัญญาเอกสารหมายจ.1แต่อย่างใดโจทก์ที่1จึงหมดสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่1และที่2แบ่งที่ดินพิพาทให้ตามสัญญาเช่นเดียวกันและเมื่อโจทก์ทั้งสี่หมดสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่1และที่2แบ่งที่ดินพิพาทให้ดังกล่าวแล้วก็ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1และที่2กับจำเลยที่3ถึงที่5

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 นายชวน เฉยสวัสดิ์บิดาโจทก์ที่ 4 และจำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันโดยเป็นบุตรของนายโฉม เฉยสวัสดิ์ และนางเลียบ เฉยสวัสดิ์นางเลียบและนายชวนถึงแก่ความตายไปนานแล้ว เดิมนายโฉมเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2373 ตำบลเสม็ดเหนือ อำเภอบางคล้าจังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ 72 ไร่ 2 งาน 72 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ นายโฉมได้นำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้แก่นายสด ธีระวัฒน์ เป็นเงินจำนวน 22,000 บาท ต่อมาวันที่19 พฤษภาคม 2497 นายโฉมได้ไถ่จำนองและชำระหนี้ให้แก่นายสดโดยยืมเงินจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วทำหนังสือสัญญายกที่ดินแบ่งให้แก่ทายาททุกคน คนละ 14 ไร่ 1 งาน โดยตกลงให้ทายาททุกคนนำเงินคนละ 4,400 บาท มาให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 แทนนายโฉมเมื่อทำสัญญาแล้วนายโฉมได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโดยโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รู้เห็นด้วย ต่อมานายโฉมได้นำหนังสือสัญญาดังกล่าวมาให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยมาหลายปีแล้ว โจทก์ทั้งสี่ทราบข้อความตามสัญญาจึงไปขอชำระหนี้คนละ 4,400 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมรับชำระหนี้และไม่แบ่งที่ดินพิพาทการโอนที่ดินพิพาทระหว่างนายโฉมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นนิติกรรมอำพราง ที่ดินยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายโฉม นายโฉมถึงแก่ความตายเมื่อปี 2515 ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกของนายโฉม โจทก์ทั้งสี่เรียกร้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 แบ่งมรดกแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นบุตรโดยสมยอมและไม่สุจริต นิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นโมฆะนอกจากนี้โจทก์ที่ 2 ได้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมาตั้งแต่นายโฉมยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันด้วยความสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ โดยจำเลยทั้งห้ามมิได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2377 เนื้อที่ 72 ไร่ 2 งาน 72ตารางวา เป็นมรดกและให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนคนละ 14 ไร่ 1 งาน หากแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งตามส่วน กับให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับจำเลยที่ 3ถึงที่ 5
จำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่มรดกของนายโฉมเฉยสวัสดิ์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากนายโฉมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2497 และได้ทำสัญญากับนายโฉมตามสัญญาเอกสารท้ายฟ้องจริง แต่โจทก์ทั้งสี่มิได้นำเงินมาชำระภายในกำหนดเวลาตามสัญญา ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามสัญญาซื้อขาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มีสิทธิยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนและการฟ้องคดีเกี่ยวกับมรดกมีอายุความ1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการยกให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5เฉพาะที่ผูกพันส่วนของโจทก์ทั้งสี่ และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2แบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสี่คนละ 14 ไร่ 1 งาน ทั้งนี้ให้โจทก์ทั้งสี่ชำระเงินคนละ 4,400 บาท คืนให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามเงื่อนไขในสัญญาเสียก่อน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 นายชวน เฉยสวัสดิ์และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนายโฉม นางเลียบ เฉยสวัสดิ์ นายโฉมถึงแก่ความตายปี 2515 นายชวนถึงแก่ความตายหลังจากนายโฉมประมาณ 2 เดือน โจทก์ที่ 4 เป็นบุตรนายชวน จำเลยที่ 2 เป็นสามีจำเลยที่ 1 ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายโฉม นายโฉมได้นำที่ดินพิพาทไปจำนองไว้แก่นายสด ธีระวัฒน์ ต่อมาปี 2497 นายโฉมไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ออกเงินในการไถ่ถอนในวันเดียวกับนายโฉมได้จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย ล.2ในการขายที่ดินพิพาทดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับนายโฉมได้ทำสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกคือโจทก์ทั้งสามและนายชวนฉบับลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2497 มีใจความว่า การที่จำเลยที่ 1ที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นการใช้หนี้แทนนายโฉม เพื่อป้องกันมิให้ที่ดินพิพาทตกเป็นของคนอื่น จำเลยที่ 1 และที่ 2ให้สัญญาว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และนายชวนนำเงินคนละ4,400 บาท ไปชำระแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 แทนเงินที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ใช้หนี้แทนนายโฉมแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะแบ่งที่ดินพิพาทให้ตามส่วนคนละ 14 ไร่ 1 งาน โดยโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3จะต้องนำเงินไปชำระแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ภายในกำหนด 5 ปีนับแต่วันทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ถ้าเกิน 5 ปี แล้ว จำเลยที่ 1ที่ 2 ไม่รับชำระหนี้และไม่แบ่งที่ดินพิพาทให้ เมื่อปี 2534จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นบุตรถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.6มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3ถึงที่ 5 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามฟ้องหรือไม่
ส่วนที่จะวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งห้า ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยคำแก้ฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ที่ว่า ศาลชั้นต้นไม่ควรอนุญาตให้จำเลยทั้งห้าขยายระยะเวลายื่นฎีกาเสียก่อน ในข้อนี้จำเลยทั้งห้ากล่าวในคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าขอความกรุณาศาลขยายระยะเวลายื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับออกไปมีกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นฎีกา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เห็นว่า แม้ในคำร้องของจำเลยทั้งห้าจะขอขยายระยะเวลา แต่คงมิได้หมายความถึงการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งเป็นเรื่องที่จะทำได้เฉพาะเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ จำเลยทั้งห้าประสงค์เพียงขอให้ศาลชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลายื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับให้ใหม่ และศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้แก่จำเลยทั้งห้า โดยให้ยื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับได้ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2538 ซึ่งจำเลยทั้งห้าก็ได้ยื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับภายในกำหนดดังกล่าว ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าประการแรกว่า โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นมรดกของนายโฉมโจทก์ทั้งสี่เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดก เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนายโฉม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 แบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตามสัญญา จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่าตามคำฟ้องมีข้อความตอนหนึ่งว่านายโฉมขอยืมเงินจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไป ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วทำสัญญายกที่ดินพิพาทให้แก่ทายาทคนละ 14 ไร่ 1 งาน โดยให้ทายาททุกคนชำระเงินคนละ 4,400 บาทแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 หลังจากนั้นนายโฉมจึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อมาเมื่อโจทก์ทั้งสี่ทราบถึงสัญญาจึงไปขอรับชำระหนี้ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2บ่ายเบี่ยงไม่ยอมแบ่งให้ โดยโจทก์ทั้งสี่ได้แนบสำเนาสัญญาเอกสารหมาย จ.1 มาท้ายคำฟ้องด้วย จากถ้อยคำในคำฟ้องและสำเนาสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นเอกสารท้ายฟ้องแสดงให้เห็นว่านายโฉมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามเอกสารหมาย จ.1 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก จึงมิใช่เรื่องฟ้องนอกประเด็น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าประการต่อไปมีว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และนายชวย ได้ทราบถึงข้อกำหนดในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 เมื่อใด และได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจะถือประโยชน์จากสัญญาดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือไม่ข้อนำสืบของทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน แต่ตามคำขออายัดที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2502 ตามเอกสารหมาย ล.1 ข้อความในคำขออายัดระบุว่า จำเลยทั้งสองได้สัญญาจะแบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์ที่ 1ภายในกำหนด 5 ปีแล้ว ยังไม่ยินยอมแบ่งให้จึงขออายัดไว้ และโจทก์ที่ 1 ได้ยื่นสำเนาสัญญาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะแบ่งลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2497 มาพร้อมด้วยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ทำสัญญาจะแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 ฉบับอื่นอีกทั้งสัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 ก็ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2497จึงเชื่อว่าสำเนาสัญญาซึ่งโจทก์ที่ 1 ยื่นแก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราคือสำเนาสัญญาเอกสารหมาย จ.1 นั่นเอง ดังนั้นที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่าเพิ่งได้รับสัญญาเอกสารหมาย จ.1 เมื่อปี2514 จึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ ทั้งยังได้ความตามคำเบิกความของนางสุดา ณรงค์หนู บุตรโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นพยานของโจทก์ทั้งสี่ตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าได้ทราบในภายหลังว่า โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมอยู่ในขณะทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ด้วย ซึ่งเป็นการเจือสมข้อนำสืบของฝ่ายจำเลย ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3อยู่ร่วมในขณะที่นายโฉม กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 อนึ่ง ที่นายโฉมทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ก็โดยมีความประสงค์เพื่อให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และนายชวนซึ่งเป็นบุตรได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาทด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับการที่โจทก์ที่ 1 นำสำเนาเอกสารหมาย จ.1 ไปยื่นขออายัดที่ดินพิพาทเมื่อปี 2502 ดังกล่าวน่าเชื่อว่านายโฉมรวมทั้งโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้แจ้งให้โจทก์ที่ 1 และนายชวนบิดาโจทก์ที่ 4 ทราบถึงข้อกำหนดในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ตั้งแต่วันทำสัญญาแล้วพยานหลักฐานของจำเลยทั้งห้ามีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และนายชวนได้ทราบถึงข้อกำหนดในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ตั้งแต่วันที่มีการทำสัญญาแล้ว
ส่วนปัญหาว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และนายชวนบิดาโจทก์ที่ 4ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือไม่นั้นเห็นว่า สัญญาเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีข้อความตามที่กล่าวไว้ในข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติข้างต้นนั้น ตามสัญญาระบุถึงกำหนดเวลาไว้ว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และนายชวนจะต้องนำเงินคนละ4,400 บาท ไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ภายใน 5 ปี นับแต่วันทำสัญญาเสียก่อนแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงจะแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และนายชวนบิดาโจทก์ที่ 4 ซึ่งได้ทราบถึงข้อกำหนดในสัญญาแล้ว แต่มิได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาเอกสารหมาย จ.1 และเสนอชำระเงินคนละ 4,400 บาท ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันทำสัญญาโจทก์ที่ 2ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 บุตรนายชวน จึงหมดสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 แบ่งที่ดินพิพาทให้ตามสัญญา สำหรับโจทก์ที่ 1 แม้จะได้ไปยื่นคำขออายัดที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา ตามเอกสารหมาย ล.1 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม2502 ซึ่งยังอยู่ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันทำสัญญาเอกสารหมายจ.1 ก็ตาม แต่คำขออายัดดังกล่าวมีข้อความเพียงว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 สัญญาจะแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ที 1 ภายในกำหนด 5 ปีบัดนี้จะครบกำหนด 5 ปี แล้ว ก็ยังไม่ยินยอมแบ่งให้ โจทก์ที่ 1จึงขออายัดที่ดินพิพาทเพื่อจะไปฟ้องร้องโดยไม่มีข้อความว่าโจทก์ที่ 1 ได้ชำระหรือเสนอจะชำระเงิน 4,400 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 ตามข้อกำหนดในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แต่อย่างใด เห็นว่าที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่าได้เตรียมเงินจำนวน 4,400 บาท ไปชำระตามข้อกำหนดในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่ยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์ที่ 1 ก็น่าจะต้องระบุข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ในคำขออายัด จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 ได้เสนอขอชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ภายในกำหนด5 ปี ตามสัญญา โจทก์ที่ 1 จึงหมดสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1และที่ 2 แบ่งที่ดินพิพาทให้ตามสัญญาเช่นเดียวกัน และเมื่อโจทก์ทั้งสี่หมดสิทธิเรียกร้องให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 แบ่งที่ดินพิพาทให้ดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share