แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาไว้ ประเด็นสำคัญที่ฎีกาคือ คำเบิกความของนายคำสิงห์ ศรีสวัสดิ์และนายสะอาด รักคำมีพยานโจทก์ เบิกความต่อศาลแตกต่างกับคำให้การต่อพนักงานสอบสวนมีเหตุอันควรระแวงสงสัยและส่อไปในทางว่าจะเบิกความปรักปรำ จำเลย จึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง จำเลยที่ 1 ทราบว่าพยานโจทก์ ทั้งสองปากดังกล่าวเบิกความเท็จต่อศาล แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถ จะหาพยานมาหักล้างได้ ครั้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2536จำเลยที่ 1 ได้รับจดหมายจากนายคำสิงห์ ศรีสวัสดิ์ ลงวันที่12 เมษายน 2536 มีข้อความสำคัญว่า ที่ได้ไปเบิกความต่อศาลในคดีนี้ไม่เป็นความจริงปรากฏรายละเอียดตามภาพถ่ายจดหมายแนบท้ายคำร้อง ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ไปสอบถาม นายคำสิงห์ ศรีสวัสดิ์ ก็ยอมรับว่าเป็นจดหมายของตนและไปเบิกความต่อศาลเพราะมีผู้เสี้ยมสอน เนื่องจากนายคำสิงห์ ศรีสวัสดิ์และนายสะขาล รักคำมี พยานโจทก์ เป็นพยานสำคัญที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 หาก จำเลยที่ 1 ได้นำพยานเข้าสืบเพิ่มเติมโดยอ้างต้นฉบับจดหมาย ดังกล่าวและเรียกให้พยานโจทก์มาเบิกความต่อศาลใหม่ก็จะได้ ความจริงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิด เพื่อประโยชน์ แห่งความยุติธรรมโปรดมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 สืบพยานเพิ่มเติม และเรียกพยานมาเบิกความต่อศาลใหม่ตามบัญชีพยานที่เสนอมา แนบท้ายคำร้อง หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 35(1),84 จำคุก 1 ปี และปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอ การลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ จำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี ฯลฯ จำเลยที่ 1 ฎีกา (อันดับ 96) ศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จและได้ส่งไปศาลชั้นต้นเพื่อนัดคู่ความฟังแล้ว (อันดับ 102) ก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 109)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะสืบพยานใหม่หรือสืบพยานเพิ่มเติมให้ยกคำร้อง