คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 921/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์สั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร การที่จำเลยเก็บภาษีจากโจทก์ตามที่โจกท์ชำระก็โดยอาศัยประมวลรัษฎากรเป็นหลัก จึงเป็นการได้มาโดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ขณะรับทรัพย์นั้น กรณีมิใช่ลาภมิควรได้อันจะขาดอายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ายื่นคำขอชำระค่าภาษีเอง มิใช่โดยการประเมินของเจ้าพนักงานตามมาตรา 87 หรือ 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่มาตรา 77 ทวิ บัญญัติว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินก็เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 14 หาใช่หมายความว่าภาษีการค้าทุกรายแม้ผู้ประกอบการค้าชำระภาษีเอง จักต้องถือว่าได้มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ตามมาตรา 30 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์เพียงแต่ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน มิได้ขอให้ชนะคดี จึงควรเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยตั้งโรงงานทำการผลิตเหล็กแผ่นชุบสังกะสีออกจำหน่าย โจทก์สั่งซื้อเหล็กแผ่น สังกะสีแท่ง แอมโมเนียมคลอไรด์ กรดเกลือ สีสำหรับชุบหรือเคลือบสังกะสี และผลิตภัณฑ์เคมีใช้ผสมอันเป็นวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อใช้ในการผลิตเป็นเหล็กแผ่นชุบสังกะสีเพื่อขาย โจทก์ได้นำส่งเงินให้แก่จำเลยเป็นค่าภาษีการค้า ภาษีรายได้จังหวัด ภาษีบำรุงเทศบาล เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑,๐๙๙,๒๗๗.๐๗ บาท ต่อมาโจทก์ทราบว่าไม่มีกฎหมายให้อำนาจจำเลยเรียกเก็บภาษีวัตถุดิบดังกล่าวจากโจทก์ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๗ และมาตรา ๗๘ วรรคสอง และทั้งไม่จำต้องเสียภาษีตามมาตรา ๗๙ ทวิ (๑) โจทก์ขอคืนแล้ว จำเลยบ่ายเบี่ยง ขอให้บังคับให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับเงินค่าภาษีตามที่โจทก์ฟ้องจริง แต่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๓๐, ๑๘ คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ และมาตรา ๔๑๙ จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในจำนวนเงินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ แล้ว โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๗๘, ๘๔, ๘๕ ทวิ, ๘๖ และ ๑๘ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๗๙ ทวิ (๑) และสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาตามฟ้องไม่ใช่วัตถุดิบหรือเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๗ ทวิ โจทก์ได้ชำระภาษีตามฟ้องให้แก่จำเลยไปแล้ว ถือได้ว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีและแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา ๓๐ จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการค้าและชำระภาษีเอง ไม่มีการแจ้งการประเมินไปยังโจทก์ กรณีไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา ๓๐ แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ย่อมมีอำนาจนำคดีมาฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตร ๕๕ ได้ แต่โจทก์ฟ้องเรียกคืนเงินภาษีที่ชำระไว้แล้วในฐานะลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๑๙ โจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปี นับแต่วันรู้ว่ามีสิทธิเรียกคืน จึงขาดอายุความ
พิพากษายืนในผลที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์สั่งวัตถุดิบตามฟ้องจากต่างประเทศเข้าในราชอาณาจักร การที่จำเลยเก็บภาษีจากโจทก์ตามที่โจทก์ชำระก็โดยอาศัยประมวลรัษฎากรเป็นหลัก จึงเป็นการได้มาโดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ขณะรับทรัพย์นั้น กรณีมิใช่ลาภมิควรได้อันจะขาดอายุความ ๑ ปี ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ส่วนประเด็นที่ว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อนนำคดีมาสู่ศาลจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้ายื่นคำขอชำระค่าภาษีเอง มิใช่โดยการประเมินของเจ้าพนักงานตามมาตรา ๘๗ หรือมาตรา ๑๘ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่มาตรา ๗๗ ทวิ บัญญัติว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินก็เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๔ หาใช่หมายความว่า ภาษีการค้าทุกรายแม้ผู้ประกอบการค้าชำระภาษีเอง จักต้องถือว่าได้มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ตามมาตรา ๓๐ มาใช้บังคับไม่ได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาในประเด็นข้อพิพาทอื่นต่อไป และวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าขึ้นศาลว่าในชั้นนี้โจทก์เพียงแต่ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน มิได้ขอให้ชนะคดี จึงควรเสียค่าขึ้นศาล ๕๐ บาท ตามตาราง ๑ ข้อ ๒ ก. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่ ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์

Share