คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9207/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แม้ผู้คัดค้านที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 10 จะมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างได้ แต่ก็หาได้หมายความว่าผู้คัดค้านที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 10 กับพวกจะมีสิทธิเรียกร้องด้วยวิธีรวมตัวกันชุมนุมประท้วงโดยเดินถือป้ายที่เขียนข้อความไม่สุภาพไปตามสถานที่ต่างๆ ในบริเวณโรงแรมผู้ร้องและโรงแรมอื่นในเครือ นำรถบัสรับส่งพนักงานมาจอดปิดกั้นถนน ใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวปราศรัยในลักษณะปลุกระดมและข่มขู่ว่าจะตัดน้ำตัดไฟหากไม่ได้สิ่งที่ต้องการ รวมทั้งมีการกางเต็นท์กลางถนนทำเป็นสถานที่ปรุงอาหารให้ผู้ร่วมชุมนุมรับประทาน ตบมือเสียงดังแสดงความพอใจต่อคำปราศรัยของฝ่ายผู้คัดค้าน มีลักษณะชักชวนให้ลูกจ้างออกมาชุมนุมประท้วงอันเป็นพฤติการณ์ที่มีลักษณะกดดันผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างไม่ การกระทำในลักษณะต่างๆ ดังกล่าวจึงมิใช่การเข้าร่วมเจรจาทำความตกลงกับนายจ้างหรือนัดหยุดงานหรือเป็นส่วนหนึ่งของการนัดหยุดงาน หรือเป็นการชุมนุมหรือเข้าร่วมโดยสงบในการนัดหยุดงาน ผู้คัดค้านดังกล่าวจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 99 และเมื่อการกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องด้วย ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างย่อมมีสิทธิดำเนินการทางวินัยแก่ผู้คัดค้านที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 10 ได้

ย่อยาว

รายชื่อผู้คัดค้านปรากฏตามคำสั่งศาลแรงงานภาค ๘
คดีทั้งสี่สำนวนนี้เดิมศาลแรงงานภาค ๘ สั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีหมายเลขดำที่ ๘๒/๒๕๕๒ ที่ ๘๓/๒๕๕๒ ที่ ๘๗/๒๕๕๒ ที่ ๘๘/๒๕๕๒ ที่ ๘๙/๒๕๕๒ และที่ ๙๐/๒๕๕๒ ของศาลแรงงานภาค ๘ โดยให้เรียกผู้ร้องทุกสำนวนว่า ผู้ร้อง และเรียกผู้คัดค้านตามลำดับสำนวนว่า ผู้คัดค้านที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ แต่คดีสำหรับผู้คัดค้านที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ และที่ ๙ ยุติในศาลแรงงานภาค ๘ ไปแล้ว คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีสำหรับผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและเงินอื่น ๆ
ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานภาค ๘ พิพากษาว่า รับฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัทลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีบริษัทลูกซึ่งประกอบธุรกิจสนามกอล์ฟ ธุรกิจสปาและธุรกิจโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต โดยลูกจ้างของบริษัทลูกได้จัดตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมารวม ๘ สหภาพ ผู้ร้องเป็นบริษัทลูกซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรมชื่อโรงแรมเชอราตัน แกรนด์ ลากูน่า ภูเก็ต เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๒ ผู้ร้องประกาศให้ลูกจ้างทราบว่า จะจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้าง ๒ สัปดาห์ และไม่ปรับขึ้นเงินเดือนทำให้ลูกจ้างส่วนหนึ่งไม่พอใจและไปรวมตัวขอเจรจากับผู้บริหารโรงแรม ต่อมาวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๒ กลุ่มสหภาพแรงงานของโรงแรมในเครือลากูน่า ภูเก็ต รวม ๘ สหภาพ นำหนังสือไปยื่นต่อกรรมการผู้จัดการบริษัทแม่ขอให้จ่ายเงินโบนัส ๑ เดือน และปรับขึ้นเงินเดือนร้อยละ ๔ กรรมการผู้จัดการของบริษัทแม่และกลุ่มสหภาพแรงงานดังกล่าวนัดประชุมกันวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ แต่ก่อนถึงวันประชุมกลุ่มสหภาพแรงงานของโรงแรมในเครือลากูน่า ภูเก็ต แจกใบปลิวชักชวนให้ลูกจ้างออกมาชุมนุมในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ ในการประชุมกลุ่มสหภาพแรงงานทั้งแปดยืนยันขอเงินโบนัส ๑ เดือน และปรับขึ้นเงินเดือนร้อยละ ๔ จึงตกลงกันไม่ได้ และเลื่อนไปนัดประชุมกันใหม่ ต่อมาวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ตัวแทนของกลุ่มสหภาพแรงงานไปขอพบกรรมการผู้จัดการของบริษัทแม่ แต่กรรมการผู้จัดการของบริษัทแม่ไม่อยู่ ในวันเดียวกันมีใบปลิวของกลุ่มสหภาพแรงงานชักชวนลูกจ้างเข้าร่วมชุมนุมอีกครั้งในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เวลา ๑๒ นาฬิกา ที่สามแยกวายจังชัน บริเวณทางเข้าโรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท ผู้ร้องประกาศแจ้งลูกจ้างว่าถ้ามีการชุมนุมจะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘ ผู้เข้าร่วมชุมนุมอาจได้รับโทษทางวินัยหรือทางอาญา แต่กลุ่มสหภาพแรงงานของโรงแรมในเครือลากูน่า ภูเก็ต ประกาศตอบโต้มีเนื้อความทำนองว่า ลูกจ้างสามารถออกมาร่วมชุมนุมได้ ในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ผู้ร้องนัดผู้แทนกลุ่มสหภาพแรงงานประชุมอีกครั้งในเวลา ๑๐ นาฬิกา แต่ได้รับแจ้งจากตัวแทนฝ่ายนายจ้างว่า ฝ่ายนายจ้างไม่สามารถดำเนินการตามที่กลุ่มสหภาพแรงงานเรียกร้องได้ กลุ่มสหภาพแรงงานยืนยันตามข้อเรียกร้องเดิม ระหว่างนั้นมีการรวมตัวกันของลูกจ้างที่หน้าสำนักงาน ฝ่ายบริหารบริษัทแม่ทั้งหมดลงเรือออกจากบริษัทหลบหนีไปทางด้านหลัง ในระหว่างวันที่ ๕ ถึงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ กรรมการลูกจ้างและลูกจ้างบางคนของผู้ร้องและของโรงแรมอื่นในเครือประมาณ ๒๕๐ คน ชุมนุมที่ทางเข้าโรงแรมในเครือลากูน่า ภูเก็ต ภายหลังเกิดเหตุดังกล่าวพนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ตดำเนินคดีอาญาแก่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ กับพวกรวม ๓๖ คน ต่อศาลจังหวัดภูเก็ต ข้อหาความผิดต่อความสงบสุขของประชาชนโดยร่วมกันปิดถนนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยในคดีดังกล่าวทุกคนให้การรับสารภาพ ศาลจังหวัดภูเก็ต พิพากษาว่า จำเลยทุกคนมีความผิดให้ลงโทษจำคุกคนละ ๑๕ วัน และปรับคนละ ๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี แล้วศาลแรงงานภาค ๘ วินิจฉัยว่า การที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๑๐ มีบันทึกลงเวลาเข้าทำงานแต่กลับไปอยู่ในบริเวณที่ชุมนุมและผู้คัดค้านที่ ๕ ไม่ได้เข้าทำงานเป็นการกระทำความผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ ๙ คือ ไม่มาปฏิบัติงานในวันและเวลาตามที่ได้รับมอบหมาย และข้อ ๑๖ คือละทิ้งสถานที่ทำงานในระหว่างปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า และการที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ทราบคำสั่งของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างห้ามไม่ให้ออกไปชุมนุมแล้ว แต่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ยังคงฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว ถือว่าเป็นการไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ ๗ และการที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ถูกดำเนินคดีอาญาเป็นการผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ ๒ คือกระทำความผิดอาญา กรณีมีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างนายเกรียงศักดิ์ ผู้คัดค้านที่ ๓ นายอนุพงค์ ผู้คัดค้านที่ ๔ นายอนันต์ ผู้คัดค้านที่ ๕ และนายประพันธ์ ผู้คัดค้านที่ ๑๐ คำขออื่นให้ยก
ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ว่า คำสั่งศาลแรงงานภาค ๘ ที่อนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ชอบหรือไม่ เห็นว่า ในกรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แม้ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ร้องจะมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างได้ แต่ก็หาได้หมายความว่าผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ กับพวกจะมีสิทธิเรียกร้องด้วยวิธีรวมตัวกันชุมนุมประท้วงโดยเดินถือป้ายที่เขียนข้อความไม่สุภาพไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณโรงแรมผู้ร้องและโรงแรมในเครือลากูน่า ภูเก็ต โดยนำรถบัสรับส่งพนักงานมาจอดปิดกั้นถนน ใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวปราศรัยในลักษณะปลุกระดมและข่มขู่ว่าจะตัดน้ำตัดไฟหากไม่ได้สิ่งที่ต้องการ รวมทั้งมีการกางเต็นท์กลางถนนทำเป็นสถานที่ปรุงอาหารให้ผู้ร่วมชุมนุมรับประทาน ตบมือเสียงดังแสดงความพอใจต่อคำปราศรัยของฝ่ายผู้คัดค้าน มีลักษณะชักชวนให้ลูกจ้างออกมาชุมนุมประท้วงอันเป็นพฤติการณ์ที่มีลักษณะกดดันผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างไม่ หากผู้ร้องไม่ยินยอมปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ กล่าวอ้าง ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ก็ชอบที่จะใช้สิทธิทางศาลฟ้องบังคับให้ผู้ร้องปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้น หาจำต้องกดดันผู้ร้องในลักษณะดังกล่าวข้างต้นไม่ เมื่อผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ กระทำการดังกล่าวข้างต้นอันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างย่อมมีสิทธิดำเนินการทางวินัยแก่ ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ได้ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ อ้างว่า การกระทำของตนได้รับยกเว้นไม่ต้องถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องทางอาญาหรือทางแพ่งตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๙๙ นั้น เห็นว่า การที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ กับลูกจ้างอื่นร่วมกันชุมนุมประท้วงโดยถือป้ายที่มีข้อความไม่สุภาพ นำรถบัสพนักงานปิดกั้นถนน ปราศรัยในลักษณะปลุกระดมและกดดัน การกระทำในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นย่อมมิใช่การเข้าร่วมเจรจาทำความตกลงกับนายจ้างหรือนัดหยุดงานหรือเป็นส่วนหนึ่งของการนัดหยุดงาน หรือเป็นการชุมนุมหรือเข้าร่วมโดยสงบในการนัดหยุดงานดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙๙ เช่นนี้ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๙๙ เมื่อผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ไม่ได้เข้าทำงานอันเป็นการกระทำความผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องความผิดประเภท “ข” ข้อ ๙ คือไม่มาปฏิบัติงานในวันและเวลาตามที่ได้รับมอบหมายและถือว่าผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ละทิ้งสถานที่ทำงานในระหว่างปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องความผิดประเภท “ข” ข้อ ๑๖ และการที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ทราบคำสั่งของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างที่ห้ามไม่ให้ออกไปชุมนุมแล้ว แต่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ยังคงฝ่าฝืน ถือว่าเป็นการไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอันเป็นการผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องความผิดประเภท “ค” ข้อ ๗ และการที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาความผิดต่อความสงบสุขของประชาชนโดยร่วมกันปิดถนนโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเนื่องมาจากการชุมนุมเรียกร้องของผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ กับพวกจนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ คนละ ๑๕ วัน และปรับคนละ ๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ ๒ ปี อันเป็นความผิดที่ร้ายแรง จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องไม่อาจไว้วางใจให้ผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ซึ่งมีพฤติการณ์เป็นปรปักษ์ต่อ ผู้ร้องร่วมทำงานกับผู้ร้องต่อไป มีเหตุที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ได้ ที่ศาลแรงงานภาค ๘ มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้คัดค้านที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๑๐ ต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน.

Share