คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 919/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เข้าไปกอดรัด ป. หลังจากที่ถูก ป. ใช้ขวดตีที่บริเวณศีรษะ แต่ ป. ยังไม่หยุดทำร้ายโดยใช้ปากกัดที่บริเวณแขนของจำเลยที่ 2 และยังใช้มือบีบคอจำเลยที่ 2 ด้วย ย่อมเป็นการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิเข้าช่วยเหลือป้องกันจำเลยที่ 2 ให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายนั้นได้ การที่จำเลยที่ 1 ใช้ค้อนตีศรีษะ ป. 3 ถึง 4 ครั้ง เป็นเพียงแผลแตกแสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตีเต็มกำลังให้ถึงตาย แต่จำเลยที่ 1 กระทำเพื่อให้ ป. หยุดทำร้ายและปล่อยตัวจำเลยที่ 2 เท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันจำเลยที่ 2 พอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2544 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองกับนายประเสริฐและนางวาสนาจำเลยที่ 2 และที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 356/2544 หมายเลขแดงที่ 451/2544 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลพิพากษาแล้วได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค้อนเหล็กและสิ่งของในบริเวณร้านอาหารที่เกิดเหตุ เป็นอาวุธขว้างปาและตีนายประเสริฐและนางวาสนาที่ศีรษะและร่างกาย ส่วนนายประเสริฐและนางวาสนาร่วมกันใช้ขวด เก้าอี้พลาสติก ไม้ถูกพื้น เป็นอาวุธขว้างปา ตี และกัดที่ศีรษะและตามร่างกายจำเลยทั้งสองเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองและนายประเสริฐได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83, 33 และริบค้อนเหล็กของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 2 เดือน ไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ให้ลงโทษกักขังจำเลยทั้งสองคนละ 2 เดือน แทนโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ริบค้อนเหล็กของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ โจทก์มีนายประเสริฐและนางวาสนาเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลา 15 นาฬิกา ขณะที่นางวาสนาขายของอยู่ที่หน้าโรงเรียนวิชานารี จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาแล้วด่านางวาสนาว่า “อีควาย” เมื่อนางวาสนากลับถึงบ้านได้เล่าให้นายประเสริฐฟัง หลังจากนั้นนายประเสริฐและนางวาสนาไปที่บ้านจำเลยที่ 2 ซึ่งเปิดเป็นร้านขายอาหารตามสั่ง เมื่อนางวาสนาไปสอบถามจำเลยที่ 2 เรื่องที่ด่านางวาสนา จำเลยที่ 2 กลับพูดว่า “อีนี่ท่าจะบ้า” และถือมีดทำท่าจะทำร้ายนางวาสนา จำเลยที่ 1 ได้เข้ามาห้ามจำเลยที่ 2 ไว้ จำเลยทั้งสองขว้างสิ่งของเข้าใส่ นายประเสริฐจึงขว้างมอเตอร์ไฟฟ้าโต้ตอบไป แล้วจำเลยที่ 2 ยังเข้ามาจะทำร้ายนางวาสนา นายประเสริฐเข้าห้ามจึงเกิดต่อสู้กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้กอดรัดตัวนายประเสริฐไว้ จำเลยที่ 1 เข้ามาช่วยจำเลยที่ 2 ใช้ค้อนตีที่ศีรษะของนายประเสริฐ 3 ถึง 4 ครั้ง ทำให้นายประเสริฐล้มลงกับพื้นหมดสติ ขณะนั้นมีเจ้าพนักงานตำรวจผ่านมาได้เข้าห้ามปราม จำเลยทั้งสองจึงหยุดทำร้ายนายประเสริฐ เห็นว่า คำเบิกความของนายประเสริฐและนางวาสนาขัดแย้งแตกต่างจากคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสมพงษ์ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งให้การว่า วันเกิดเหตุ นายสมพงษ์เห็นนางวาสนาและจำเลยที่ 2 โต้เถียงกัน จากนั้นจึงเห็นนายประเสริฐขว้างขวดน้ำไปที่ร้านของจำเลยที่ 2 ถูกมิเตอร์ไฟฟ้าเสียหาย จำเลยที่ 2 ได้ต่อว่านายประเสริฐ ทำให้นายประเสริฐโมโหได้ใช้ขวดน้ำขว้างใส่จำเลยที่ 2 ถูกที่บริเวณหน้าผากแตกมีโลหิตไหล อีกทั้งคำเบิกความของนายประเสริฐและนางวาสนายังแตกต่างจากคำเบิกความของนางสาวณัฐกานต์ พยานจำเลยซึ่งวันเกิดเหตุมารับหลานที่โรงเรียนวิชานารีและมาซื้ออาหารที่ร้านจำเลยทั้งสองที่เบิกความว่า วันเกิดเหตุเห็นนางวาสนามายืนด่าที่บริเวณหน้าร้านจำเลยทั้งสอง และเห็นนายประเสริฐขว้างมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปในร้านจำเลยทั้งสอง เห็นจำเลยทั้งสองวิ่งหนีเข้าไปในร้าน นางสาวณัฐกานต์เกิดความกลัวจึงพาหลานข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นนายประเสริฐเดินออกมาจากร้านทะเลาะกัน แล้วนายประเสริฐใช้ขวดตีที่ศีรษะจำเลยที่ 2 มีโลหิตไหล แม้นางสาวณัฐกานต์จะเป็นพยานจำเลยทั้งสอง แต่นางสาวณัฐกานต์ไม่เคยรู้จักกับจำเลยทั้งสอง นายประเสริฐและนางวาสนามาก่อน จึงเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้ ที่นายประเสริฐและนางวาสนาพยานโจทก์เบิกความอ้างว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายเข้ามารุมทำร้ายนายประเสริฐ จึงมีพิรุธไม่น่าเชื่อ ส่วนจำเลยทั้งสองเบิกความว่า หลังจากจำเลยที่ 2 ถูกนายประเสริฐใช้ขวดน้ำปลาตีที่บริเวณศีรษะมีโลหิตไหล จำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำร้ายนายประเสริฐ กลับถูกนายประเสริฐนำตัวจำเลยที่ 2 ไปที่บริเวณหน้าร้านจำเลยทั้งสอง ซึ่งตามฎีกาของจำเลยทั้งสองยอมรับว่าขณะนั้นจำเลยที่ 2 ก็ได้กอดรัดตัวนายประเสริฐไว้ แต่จำเลยที่ 2 ยังถูกนายประเสริฐใช้ปากกัดที่บริเวณแขนแล้วใช้มือบีบคอจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงใช้ค้อนตีที่ศีรษะของนายประเสริฐ เพื่อให้นายประเสริฐปล่อยตัวจำเลยที่ 2 ดังนี้หากจำเลยทั้งสองสมัครใจทะเลาะวิวาทกับนายประเสริฐแล้ว จำเลยที่ 1 คงไม่ปล่อยให้นายประเสริฐทำร้ายจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 คงไม่ยอมให้นายประเสริฐทำร้ายจำเลยที่ 2 ฝ่ายเดียวย่อมต้องคิดต่อสู้โดยใช้ปากกัดหรือใช้เล็บข่วนตามร่างกายและใบหน้าของนายประเสริฐให้ได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่กลับไม่ปรากฎบาดแผลตามร่างกายและบริเวณใบหน้าของนายประเสริฐเลยแต่อย่างใด แสดงว่า นายประเสริฐไม่ได้ถูกจำเลยที่ 2 ทำร้ายโดยคงถูกจำเลยที่ 1 ใช้ค้อนตีที่ศีรษะเท่านั้น คำเบิกความของจำเลยทั้งสองจึงประกอบชอบด้วยเหตุผล น่าเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบมา พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองจึงมีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 เข้าไปกอดรัดนายประเสริฐหลังจากที่ถูกนายประเสริฐใช้ขวดตีที่บริเวณศีรษะ ทำให้ศีรษะของจำเลยที่ 2 แตกมีโลหิตไหล จำเลยที่ 2 ย่อมกระทำไปเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นจากการถูกนายประเสริฐทำร้ายอีก แต่นายประเสริฐยังไม่หยุดทำร้ายโดยใช้ปากกัดที่บริเวณแขนของจำเลยที่ 2 เป็นบาดแผลตามรายงานผลการตรวจบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย จ.3 และยังใช้มือบีบคอจำเลยที่ 2 ด้วย ย่อมเป็นการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิเข้าช่วยเหลือป้องกันจำเลยที่ 2 ให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายนั้นได้ การที่จำเลยที่ 1 ใช้ค้อนตีไปที่ศีรษะของนายประเสริฐ 3 ถึง 4 ครั้ง เป็นเพียงแผลแตกแสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตีเต็มกำลังให้ถึงตาย แต่จำเลยที่ 1 กระทำเพื่อให้นายประเสริฐหยุดทำร้ายและปล่อยตัวจำเลยที่ 1 เท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันจำเลยที่ 2 พอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share