คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่5รับผิดในหนี้ที่เหลือซึ่งเป็นหนี้สามัญนอกเหนือไปจากหนี้จำนองที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่5รับผิดในวงเงินต้น2,000,000บาทเท่านั้นโจทก์หาได้อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่5รับผิดในหนี้จำนองเพิ่มขึ้นไม่ดังนั้นหากโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์แล้วก็ไม่อาจบังคับจำนองได้มากไปกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่5รับผิดในหนี้จำนองจึงไม่มีเหตุที่จะให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองของจำเลยที่5ไว้ในระหว่างอุทธรณ์

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1ที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 28,911,497.64 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์หากจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนก็ให้จำเลยที่ 5 ชำระแทนเป็นเงิน 2,000,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 25 ต่อปี ในยอดหนี้ดังกล่าวข้างต้นตามลำดับวันที่ที่ถึงกำหนดนับก่อน แต่ยอดเงินต้นไม่ให้เกิน2,000,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 10289 ตำบลพระโขนง (ที่ 11พระโขนงฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 5 และที่ดินโฉนดเลขที่ 38277 ตำบลบางอ้ออำเภอบางกอกน้อย (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 4 ซึ่งจดทะเบียนจำนองและขึ้นเงินจำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้แก่โจทก์ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน แต่เฉพาะจำเลยที่ 5ให้ยึดทรัพย์สินได้ภายในวงเงินต้น 2,000,000 บาท และดอกเบี้ยดังที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น
โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โดยขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5 คือที่ดินโฉนดเลขที่ 10289 เลขที่ดิน 1178ตำบลพระโขนง (ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนงกรุงเทพมหานคร หรือมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5ไว้ในระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5 ไว้ในระหว่างอุทธรณ์
จำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2537ขอให้ศาลมีคำสั่งงดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5 ไว้ในระหว่างอุทธรณ์หรือมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์จำนองดังกล่าวไว้ระหว่างอุทธรณ์ เพราะหากให้จำเลยที่ 5 ไถ่ถอนทรัพย์จำนองตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว เมื่อโจทก์ชนะคดีชั้นอุทธรณ์เต็มตามฟ้องโจทก์คงไม่สามารถบังคับชำระหนี้ส่วนที่จำเลยที่ 5จะต้องร่วมรับผิดเพิ่มขึ้นในหนี้สามัญจากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5เพราะจำเลยที่ 5 ต้องจำหน่ายจ่ายโอนและเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์จำนองดังกล่าวทันทีที่ได้รับการไถ่ถอนจากโจทก์นั้น เมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับอุทธรณ์ของโจทก์ที่คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 5 รับผิดในหนี้ที่เหลือซึ่งเป็นหนี้สามัญนอกเหนือไปจากหนี้จำนองที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในวงเงินต้น 2,000,000 บาท เท่านั้นโจทก์หาได้อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 5 รับผิดในหนี้จำนองเพิ่มขึ้นไม่ดังนั้นหากโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์แล้วก็ไม่อาจบังคับจำนองได้มากไปกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในหนี้จำนอง กรณีตามคำร้องของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่มีเหตุที่จะให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองส่วนคำขอให้ยึดหรืออายัดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5 นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่มีคำสั่งถึงในคำขอส่วนนี้ โจทก์ก็หาได้ฎีกาไม่ ปัญหาดังกล่าวจึงยุติไป
พิพากษากลับ ให้ยก คำร้องขอ งโจทก์

Share