คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9156/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ที่ 3 และ ก. เป็นเจ้าของรวมในที่ดินได้ร่วมกันจำนองไว้แก่ผู้ร้องเพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 724 มิได้ให้สิทธิแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ ก. ซึ่งเป็นผู้จำนองได้ และแม้ว่า ก. จะทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 อย่างลูกหนี้ร่วมก็ไม่มีฐานะเป็นลูกหนี้ชั้นต้นไปด้วย มาตรา 693 ก็ไม่ได้ให้สิทธิแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่จะไล่เบี้ยเอาจาก ก. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน ก. และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ต่อกัน ดังนั้นเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านได้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระหนี้จำนวน 9,429,863 บาท ให้แก่ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้มีประกันก่อนเจ้าหนี้อื่นแล้วผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิที่จะนำเงินจำนวน 3,143,287.66 บาทไปหักกลบลบหนี้กับเงินส่วนของ ก. ที่จะได้รับจากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องโดยมีนางกัลยา พัวพันธุ์ทองทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3อย่างลูกหนี้ร่วม นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนางกัลยาได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 62438 ถึงเลขที่ 62445 และ 32255พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งทั้งสามคนถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันเป็นประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวด้วย ต่อมานางกัลยาถึงแก่กรรม นายสันติ พัวพันธุ์ทอง และนางสาวสายสวาท พัวพันธุ์ทอง เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกและนายสันติเป็นผู้จัดการมรดกของนางกัลยา ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 นายสันติและนางสาวสายสวาท เป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการให้ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ศาลจังหวัดสมุทรปราการ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดสมุทรปราการคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2530 ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 นายสันติและนางสาวสายสวาทร่วมกันชำระเงิน 8,321,413.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กันยายน 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 88,913.73 บาท ถ้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ที่ 3นายสันติและนางสาวสายสวาท ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท แต่สำหรับนายสันติและนางสาวสายสวาทให้รับผิดไม่เกินจำนวนทรัพย์มรดกของนางกัลยาที่ตกได้แก่นายสันติและนางสาวสายสวาทปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เอกสารท้ายคำร้องหมาย 3คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ในขณะที่คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2530 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2และที่ 3 เด็ดขาดเป็นคดีนี้ ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2และที่ 3 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 96(3) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 10,804,158.35บาท โดยให้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 62438 ถึงเลขที่ 62445 และเลขที่ 32255 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 9,429,863 บาท ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันก่อนเจ้าหนี้อื่นหากหนี้ยังขาดอยู่จำนวนเท่าใดให้ได้รับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้สามัญจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้คัดค้านได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 62438 ถึงเลขที่ 62445 และเลขที่ 32255พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดไปในราคา 18,100,000 บาทเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเป็นส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3จำนวน 12,066,666.66 บาท ผู้คัดค้านนำไปชำระหนี้จำนองตามคำสั่งศาลชั้นต้นจำนวน 9,429,683 บาท โดยถูกต้องแล้ว แต่สำหรับส่วนของนางกัลยาจำนวน 6,033,333.34 บาทนั้น ผู้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดสมุทรปราการ อายัดเงินจำนวนนี้เพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2530 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ แต่ผู้คัดค้านส่งเงินให้ตามที่อายัดเพียงจำนวน 2,755,045.68 บาท เท่านั้น โดยอ้างว่า นางกัลยาเป็นหนี้ค่าหุ้นของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จำนวน 135,000 บาทจึงหักกลบลบหนี้จำนวนนี้กับเงินส่วนของนางกัลยา นอกจากนี้ผู้คัดค้านอ้างว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นลูกหนี้ร่วมกับนางกัลยาในหนี้ค้ำประกันและจำนองที่มีต่อผู้ร้องซึ่งกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องแทนนางกัลยาไปเป็นเงิน 3,143,287.66 บาท ผู้คัดค้านจึงนำเงินจำนวนดังกล่าวนี้ไปหักกลบลบหนี้กับเงินส่วนของนางกัลยาอีก ทำให้เหลือเงินส่วนของนางกัลยาอยู่ที่ผู้คัดค้านและผู้คัดค้านได้ส่งให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีเพียง 2,755,045.68 บาท ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะนางกัลยาเป็นเพียงผู้ค้ำประกันมิใช่เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้วไม่มีกฎหมายให้อำนาจมาไล่เบี้ยเอาแก่นางกัลยาซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันได้จึงไม่มีหนี้ที่นางกัลยาจะต้องรับผิดต่อกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจนำเงินจำนวน 3,143,287.66 บาทมาหักกลบลบหนี้กับเงินส่วนของนางกัลยาที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินได้ ผู้คัดค้านจะต้องส่งเงินในส่วนของนางกัลยาจำนวน 4,970,000 บาทแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ขอให้ผู้คัดค้านส่งเงินตามที่อายัดจำนวน 4,970,000 บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดสมุทรปราการ
ผู้คัดค้านแถลงคัดค้านว่า ผู้ร้องได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้จำนองจำนวน 9,429,863 บาท ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นแต่ทรัพย์จำนองมีผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม 3 คน คือ จำเลยที่ 2ที่ 3 และนางกัลยา เมื่อทุกคนร่วมกันจำนองทุกคนจึงเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้จำนองที่มีต่อผู้ร้องภาระหนี้จำนองย่อมกระจายไปตามส่วนแห่งกรรมสิทธิ์ที่แต่ละคนถืออยู่คนละหนึ่งในสามของหนี้จำนองจำนวน 9,429,863 บาท เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์จำนองภาระจำนองย่อมตกเป็นความรับผิดของนางกัลยาหนึ่งในสามส่วนคิดเป็นเงินจำนวน 3,143,287.66 บาท และนางกัลยาเป็นหนี้ค่าหุ้นจำเลยที่ 1 จำนวน 135,000 บาทผู้คัดค้านจึงหักหนี้ทั้งสองจำนวนดังกล่าวคงเหลือเงินส่วนของนางกัลยาจำนวน 2,755,045.68 บาท ผู้ร้องก็ทราบและยอมรับการหักกลบลบหนี้นั้นแล้ว หลังจากผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันแล้วเหลือหนี้ตามคำพิพากษาอีกไม่เกิน 1,000,000 บาท การขออายัดของผู้ร้องจึงเป็นการอายัดเกินส่วน นอกจากนี้ผู้ร้องเสนอคำร้องเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลา 14 วันแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ยอดเงินส่วนของนางกัลยาที่เหลืออยู่ตามบัญชีที่ผู้คัดค้านจัดทำขึ้นนั้น ถูกต้องแล้วให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2527 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้อง โดยมีนางกัลยา พัวพันธุ์ทอง ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนางกัลยาได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 62438 ถึงเลขที่ 62445 และเลขที่ 32255ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งใต้) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนางกัลยา ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันเป็นประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีด้วย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2528 นางกัลยาได้ถึงแก่กรรม นายสันติ พัวพันธุ์ทองและนางสาวสายสวาทเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกและนายสันติเป็นผู้จัดการมรดกของนางกัลยา เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2529 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 นายสันติและนางสาวสายสวาทเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ ให้ร่วมกันชำระเงิน 8,410,327.10 บาท แก่ผู้ร้อง พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 8,321,413.37 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2530 ผู้ร้องอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 นายสันติและนางสาวสายสวาทร่วมกันชำระเงิน 8,321,413.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กันยายน 2529เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 88,913.73 บาท ถ้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ที่ 3 นายสันติและนางสาวสายสวาทออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 นายสันติและนางสาวสายสวาทใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนผู้ร้องโดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท แต่สำหรับนายสันติและนางสาวสายสวาทให้รับผิดไม่เกินจำนวนทรัพย์มรดกของนางกัลยาที่ตกได้แก่นายสันติและนางสาวสายสวาทปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เอกสารหมาย ร.3 เมื่อปี 2531โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย วันที่ 30สิงหาคม 2531 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน 12,001,889.84 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านทำการสอบสวนแล้วเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2532 ผู้คัดค้านได้ทำความเห็นเสนอต่อศาลชั้นต้นว่า เห็นควรให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 10,804,158.35 บาท โดยให้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 62438 ถึงเลขที่ 62445 และเลขที่ 32255 ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งใต้)อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 9,429,863 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา 96(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ก่อนเจ้าหนี้อื่น ตามเอกสารหมาย ร.8 วันที่ 17 สิงหาคม 2533ผู้คัดค้านได้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 18,100,000 บาท เป็นส่วนของนางกัลยาผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมจำนวน 6,033,333.34 บาท และเป็นส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำนวน 12,066,666.66 บาท สำหรับส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้นผู้คัดค้านได้นำไปชำระหนี้จำนองแก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาของศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2530ของศาลจังหวัดสมุทรปราการเป็นเงิน 9,429,683 บาท ถูกต้องแล้วปรากฏตามบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินเอกสารหมาย ร.9 ผู้ร้องได้ร้องขอให้บังคับคดีแก่นายสันติและนางสาวสายสวาทเพื่อให้ชำระหนี้ในส่วนที่ขาด เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2534ศาลจังหวัดสมุทรปราการได้ออกหมายบังคับคดีให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์สินของนายสันติและนางสาวสายสวาทและได้มีหนังสือลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2534 ถึงศาลชั้นต้นขอให้อายัดเงินที่นายสันติและนางสาวสายสวาทในฐานะทายาทหรือผู้จัดการมรดกของนางกัลยามีสิทธิได้รับจากผู้คัดค้านเป็นเงินจำนวน 4,970,000 บาท ตามเอกสารหมาย ร.6 วันที่ 19 กันยายน 2534 ผู้คัดค้านได้ออกหมายนัดแจ้งไปยังนายสันติและนางสาวสายสวาทขอหักกลบลบหนี้ที่นางกัลยาค้างชำระค่าหุ้นแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 135,000 บาท กับจำเลยที่ 1 และหักเงินจำนวน 3,143,287.66 บาท โดยอ้างว่าเป็นเงินส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ชำระหนี้แก่ผู้ร้องแทนนางกัลยาไปและผู้คัดค้านได้โอนเงินที่เหลือจำนวน 2,755,045.68 บาท ไปไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2530 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการตามเอกสารหมาย ค.6 และตามบัญชีแสดงการรับ-จ่ายเงินเอกสารหมาย ร.11 ตามที่ผู้ร้องขออายัดไว้
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของผู้ร้องว่าผู้คัดค้านมีสิทธิจะนำเงินจำนวน 3,143,287.66 บาท ส่วนของนางกัลยามาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ชำระแก่ผู้ร้องได้หรือไม่ เรื่องหักกลบลบหนี้ได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 วรรคแรกว่า”ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้” ตามมาตรา 341 วรรคแรกนี้เห็นว่า การที่จะขอหักกลบลบหนี้กันได้นั้น จะต้องมีบุคคลสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ต่อกัน มูลหนี้มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้ว สำหรับกรณีนี้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนางกัลยาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์ที่จำนองได้ร่วมกันเอาทรัพย์สินจำนองไว้แก่ผู้ร้องเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นลูกหนี้ชั้นต้น ส่วนนางกัลยาเป็นเพียงลูกหนี้ชั้นที่ 2ตามสัญญาค้ำประกันและจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์เท่านั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 724 ได้บัญญัติไว้ว่า”ผู้จำนองใดได้จำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระแล้วและเข้าชำระหนี้เสียเองแทนลูกหนี้เพื่อจะปัดป้องมิให้ต้องบังคับจำนอง ท่านว่าผู้จำนองนั้นชอบที่จะได้รับเงินใช้คืนจากลูกหนี้ตามจำนวนซึ่งผู้รับจำนองจะได้รับใช้หนี้จากการบังคับจำนองนั้น” ตามบทบัญญัติมาตรา 724 นี้ หมายความว่า ถ้านางกัลยาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องแทนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไป หรือถ้ามีการบังคับจำนองนำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินส่วนของนางกัลยาไปใช้หนี้แก่ผู้ร้องแทนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไป นางกัลยาก็มีสิทธิจะได้รับเงินใช้คืนจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ตามบทกฎหมายดังกล่าวมิได้ให้สิทธิแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่จะไล่เบี้ยเอาแก่นางกัลยาซึ่งเป็นผู้จำนองได้ และแม้ว่านางกัลยาจะทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 อย่างลูกหนี้ร่วมก็มีความหมายเพียงว่า นางกัลยายอมเข้ารับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในทันทีโดยจะอ้างสิทธิพิเศษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 688, 689 และ 690 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นต่อสู้กับผู้ร้องไม่ได้เท่านั้น หาได้หมายความว่านางกัลยาจะมีฐานะกลายเป็นลูกหนี้ชั้นต้นเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปด้วยไม่ และเมื่อนางกัลยาได้ชำระหนี้แก่ผู้ร้องแล้ว นางกัลยาย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ อีกทั้งยังเข้ารับช่วงสิทธิของผู้ร้องที่มีเหนือจำเลยที่ 2 และที่ 3ได้อีกด้วย ทั้งนี้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 693 จะเห็นได้ว่า ตามบทกฎหมายที่กล่าวมาหาได้ให้สิทธิแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่จะไล่เบี้ยเอาจากนางกัลยาซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ นางกัลยาและจำเลยที่ 2 และที่ 3ต่างไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ต่อกันอันจะทำให้มีการหักกลบลบหนี้กันได้ ดังนั้น เมื่อผู้คัดค้านได้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างส่วนของจำเลยที่ 2และที่ 3 ในคดีนี้ชำระหนี้จำนวน 9,429,863 บาท ให้แก่ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้มีประกันก่อนเจ้าหนี้อื่น ตามความเห็นของผู้คัดค้านซึ่งศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของผู้คัดค้านแล้วไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่จะไล่เบี้ยเอาจากนางกัลยาผู้ค้ำประกันและจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิที่จะนำเงินจำนวน 3,143,287.66 บาท ไปขอหักกลบลบหนี้กับนายสันติและนางสาวสายสวาททายาทของนางกัลยาได้ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของผู้คัดค้านหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าผู้ร้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ใน 2 ฐานะคือในฐานะเจ้าหนี้รายที่ 3 โดยนายทวี คงแสงภักดิ์ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามเอกสารหมาย ร.8และในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 685/2530ของศาลจังหวัดสมุทรปราการได้ขอให้ศาลจังหวัดสมุทรปราการออกหมายบังคับคดีอายัดเงินที่นายสันติและนางสาวสายสวาททายาทหรือผู้จัดการมรดกของนางกัลยามีสิทธิได้รับจากผู้คัดค้านเป็นเงินจำนวน 4,970,000 บาท โดยนายทวีผู้รับมอบอำนาจตามเอกสารหมาย ร.3, ร.4 และร.6 ตามบัญชีแสดงการรับ-จ่ายเงินเอกสารหมาย ร.9 (ค.3) นายทวีได้ลงลายมือชื่อรับรองว่าได้ตรวจและรับรองบัญชีถูกต้องเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2534ถือได้ว่าลงลายมือชื่อรับรองในฐานะผู้รับมอบอำนาจเจ้าหนี้รายที่ 3 ตามบัญชีแสดงรายรับ-จ่ายเงินดังกล่าว ในหมวดค่าใช้จ่ายต่อไปภายหน้า ได้จ่ายค่าธรรมเนียมร้อยละ 5ของเงิน 12,066,666.66 บาท ซึ่งเป็นเงินส่วนของจำเลยที่ 2และที่ 3 คิดเป็นเงินจำนวน 603,333.33 บาท ค่าส่งหนังสือแจ้งรับเงิน 36 บาท จ่ายผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนอง 9,429,863บาท หักส่วนของนางกัลยา 6,033,333.34 บาท คงเหลือเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำนวน 1,940,644.33บาท ส่วนของนางกัลยาผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมจำนวน 6,033,333.34บาท ได้มีหมายเหตุไว้ว่าหักชำระค่าหุ้น 135,000 บาท หักหนี้จำนอง 1/3 ของเงิน 9,429,863 บาท เป็นเงิน 3,143,287.66 บาทคงเหลือ 2,755,045.68 บาท การหักเงินทั้ง 2 จำนวนของนางกัลยาไม่ได้ระบุว่าเป็นการหักกลบลบหนี้ถือได้ว่าเป็นการกันส่วนไว้เพื่อดำเนินการต่อไปเท่านั้น การหักกลบลบหนี้เพิ่งปรากฏตามความเห็นของรองอธิบดีกรมบังคับคดีท้ายบันทึกข้อความลงวันที่ 22 เมษายน 2534 ของผู้คัดค้านเอกสารหมาย ร.10แผ่นที่ 2 ต่อมาผู้คัดค้านจึงได้ทำบันทึกข้อความลงวันที่18 มิถุนายน 2534 เสนอผู้อำนวยการกองยึดอายัดและจำหน่ายทรัพย์สิน (บังคับคดีแพ่ง 3) ขอหักกลบลบหนี้ ตามเอกสารหมาย ร.7 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2534 ผู้คัดค้านจึงออกหมายนัดแจ้งขอหักกลบลบหนี้ต่อนายสันติและนางสาวสายใจ ผู้จัดการมรดกของนางกัลยาทราบตามเอกสารหมาย ค.6 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2พนักงานเดินหมายส่งหมายนัดโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2534 ตามเอกสารหมาย ค.6 แผ่นที่ 3 และแผ่นที่ 4 ซึ่งมีผลถือว่านายสันติและนางสาวสายใจทราบเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2534 ดังนั้นการแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ของผู้คัดค้านต่อผู้จัดการมรดกของนางกัลยาจึงมีผลตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2534ซึ่งนายทวีผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องได้ลงลายมือชื่อรับทราบการหักกลบลบหนี้ของผู้คัดค้านในท้ายบันทึกข้อความเอกสารหมาย ร.7 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2534 ซึ่งถือว่าผู้ร้องได้ทราบว่าผู้คัดค้านได้ทำการหักกลบลบหนี้ระหว่างจำเลยที่ 2และที่ 3 กับผู้จัดการมรดกของนางกัลยาในวันนั้น ที่นายทวีได้ลงลายมือชื่อรับทราบบัญชีแสดงรายการรับ-จ่ายเงินท้ายเอกสารหมาย ร.9 (ค.3) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2534 ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรับทราบการหักกลบลบหนี้ของผู้คัดค้านเพราะขณะนั้นผู้คัดค้านยังไม่ได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ต่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นการที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2534จึงยังไม่เกินกำหนด 14 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของผู้คัดค้านที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง ผู้ร้องฎีกาขอให้ผู้คัดค้านส่งเงินจำนวน 4,970,000บาท ตามที่ขออายัดไว้ แต่ตามคำร้องและข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ยุติแล้วว่า ผู้คัดค้านได้ส่งเงินไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดสมุทรปราการจำนวน 2,755,045.68 บาท ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2534 แล้วตามเอกสารหมาย ร.11 คงขาดอยู่เพียง2,214,954.32 บาท ผู้คัดค้านจึงต้องส่งเงินให้อีกเพียง2,214,954.32 บาท เท่านั้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้คัดค้านส่งเงินส่วนของนางกัลยา พัวพันธุ์ทอง จำนวน 2,214,954.32 บาท ไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดสมุทรปราการ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share