คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9154-9155/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511มีเจตนารมณ์ให้รัฐบาลจัดที่ดินของรัฐให้ประชาชนได้มีที่ตั้งเคหสถานและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งในที่ดินนั้นการที่มีบทบัญญัติห้ามโอนที่ดินแก่ผู้อื่นเว้นแต่การตกทอดทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ผู้รับที่ดินเป็นสมาชิกอยู่และกำหนดให้ที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีก็เพื่อให้ผู้ได้รับที่ดินใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์ตามเจตนารมณ์ดังกล่าวโดยไม่ต้องเสียที่ดินไปโดยง่ายหรือมีการจำหน่ายจ่ายโอนไปให้ผิดจากเจตนารมณ์ดังกล่าวดังนั้นการที่โจทก์ตกลงขายที่ดินให้จำเลยเพื่อหักหนี้และมอบที่ดินให้จำเลยซึ่งได้กระทำกันภายในระยะเวลาซึ่งยังอยู่ในกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่มีเจตนาจะโอนที่ดินกันและก่อสิทธิเรียกร้องที่จะบังคับให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อไปแม้จะกำหนดให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันภายหลังพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนแล้วก็ตามก็เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอนตามกฎหมายเป็นนิติกรรมอันมีวัตถุที่มีประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา113(เดิม)จำเลยจะยกนิติกรรมอันเป็นโมฆะดังกล่าวนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้กู้ยืมจากโจทก์และไม่ออกจากที่ดินของโจทก์ไม่ได้ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยเรียกนางสมหมาย พินดอน ซึ่งเป็นโจทก์สำนวนแรกและเป็นจำเลยสำนวนหลังเป็นโจทก์ เรียกนายลำดวน ทะวาผักแว่น ซึ่งเป็นจำเลยสำนวนแรกและเป็นโจทก์สำนวนหลังเป็นจำเลย
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2531 โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยเป็นเงิน 110,000 บาท ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้โจทก์ได้มอบที่ดินโฉนดเลขที่ 1026 ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศจังหวัดปราจีนบุรี ของโจทก์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย ต่อมาเดือนมกราคม 2534 โจทก์ขอชำระหนี้จำนวน 110,000 บาท ให้จำเลยและให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้และไม่ยอมออกไปจากที่ดิน โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรับชำระหนี้จำนวน 110,000 บาท จากโจทก์และออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้กู้ยืมเงินของจำเลยไปจริงแต่ต่อมาโจทก์ไม่มีเงินชำระหนี้จึงได้ตกลงขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยในราคา 112,000 บาท พร้อมกับได้มอบที่ดินให้จำเลยครอบครอง แต่เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวมีกำหนดห้ามโอนภายใน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2529 โจทก์และจำเลยจึงทำสัญญาจะซื้อขายโดยตกลงจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันปี 2534 หลังจากพ้นระยะเวลาห้ามโอนแล้ว โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยว่า เมื่อวันที่24 มกราคม 2531 โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยไปจำนวน 110,000 บาท ได้มอบที่ดินโฉนดเลขที่ 1026 ตำบลท่าข้าม (ฟากห้วย) อำเภออรัญประเทศจังหวัดปราจีนบุรี ให้จำเลยครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ย ต่อมาหลังจากกู้ยืมเป็นเงินไปแล้วประมาณ 1 ปี จำเลยเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ แต่โจทก์ไม่มีเงินชำระจึงตกลงขายที่ดินให้จำเลยแทนการชำระหนี้โดยตีราคาที่ดินเป็นเงิน 112,000 บาท และตกลงจะชำระเงินส่วนที่จำเลยต้องชำระอีก 2,000 บาท ให้แก่โจทก์ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ แต่เนื่องจากที่ดินที่โจทก์ตีใช้หนี้ให้แก่จำเลยดังกล่าวมีกำหนดห้ามโอนภายใน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่3 มกราคม 2529 ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 จึงทำสัญญาจะซื้อขายกันโดยตกลงว่าจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2534 ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดห้ามโอน จำเลยบอกกล่าวให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่จำเลย แต่โจทก์เพิกเฉยขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวให้แก่จำเลยและรับเงินจำนวน 2,000 บาท จากจำเลยหากโจทก์ไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การว่า โจทก์กู้ยืมเงินจำนวน 110,000 บาท จากจำเลยและมอบที่ดินของโจทก์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยจริง แต่โจทก์ไม่เคยตกลงทำสัญญาขายที่ดินของโจทก์ให้จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1026 ตำบลท่าข้าม (ฟากห้วย) อำเภออรัญประเทศจังหวัดปราจีนบุรี ให้แก่จำเลย โดยให้จำเลยชำระเงิน 2,000 บาทแก่โจทก์ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หากโจทก์ไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ และให้จำเลยนำเงิน2,000 บาท มาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไป ให้ยกฟ้องสำนวนแรก
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์และรับชำระหนี้กู้ยืมจำนวน 110,000 บาท จากโจทก์ กับให้ยกฟ้องสำนวนหลัง
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องและคำให้การของโจทก์และจำเลยทั้งสองสำนวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่าโจทก์กู้ยืมเงินจำเลยจำนวน 110,000 บาท ไม่กำหนดเวลาชำระหนี้โจทก์มอบที่ดินโฉนดเลขที่ 1026 ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรีของโจทก์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์ขอชำระหนี้จำนวน110,000 บาท แก่จำเลยและให้จำเลยออกจากที่ดิน แต่จำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้และไม่ออกจากที่ดินโดยอ้างว่า หลังจากโจทก์กู้ยืมเงินไปประมาณ 1 ปี จำเลยเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ โจทก์ไม่มีเงินชำระจึงตกลงขายที่ดินดังกล่าวเพื่อหักหนี้ในราคา 112,000 บาท และมอบที่ดินให้จำเลย แต่เนื่องจากที่ดินดังกล่าวมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน5 ปี นับแต่วันที่ 3 มกราคม 2529 ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 จึงได้ตกลงทำเป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับลงวันที่ 24 มกราคม 2532 โดยกำหนดจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในปี 2534 ซึ่งพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 มีเจตนารมณ์ให้รัฐบาลจัดที่ดินของรัฐให้ประชาชนได้มีที่ตั้งเคหสถานและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งในที่ดินนั้น การที่มีบทบัญญัติห้ามโอนที่ดินแก่ผู้อื่นเว้นแต่การตกทอดทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ผู้รับที่ดินเป็นสมาชิกอยู่และกำหนดให้ที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีก็เพื่อให้ผู้ได้รับที่ดินใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์ตามเจตนารมณ์ดังกล่าว โดยไม่ต้องเสียที่ดินไปโดยง่าย หรือมีการจำหน่ายจ่ายโอนไปให้ผิดจากเจตนารมณ์ดังกล่าว ดังนั้นข้ออ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์ตกลงขายที่ดินให้จำเลยเพื่อหักหนี้และมอบที่ดินให้จำเลยซึ่งได้กระทำภายในระยะเวลาซึ่งยังอยู่ในกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่มีเจตนาจะโอนที่ดินกันและก่อสิทธิเรียกร้องที่จะบังคับให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อไป แม้จะกำหนดโอนกรรมสิทธิ์กันภายหลังพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนแล้วก็ตามก็เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงข้อกำหนดห้ามโอนตามกฎหมาย เป็นนิติกรรมอันมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 (เดิม) จำเลยย่อมไม่มีสิทธิยกนิติกรรมอันเป็นโมฆะดังกล่าวขึ้นเป็นเหตุปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้กู้ยืมจากโจทก์และไม่ออกจากที่ดินของโจทก์ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
พิพากษายืน

Share