คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9151/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้มูลคดีและประเด็นแห่งคดีในชั้นร้องขัดทรัพย์กับคดีเดิมจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่ปรากฏตามคำแถลงของผู้ร้องที่ขออนุญาตยื่นสำนวนคดีเดิมเป็นพยานและศาลชั้นต้นได้สั่งรับตามคำแถลงของผู้ร้องแล้ว ดังนี้ ถือได้ว่า พยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนคดีเดิมได้ถูกนำเข้าสู่สำนวนในชั้นร้องขัดทรัพย์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นรับฟังคำเบิกความของจำเลยซึ่งอยู่ในสำนวนคดีเดิมมาประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นร้องขัดทรัพย์ จึงหาใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานนอกสำนวนไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องอุทธรณ์เป็นทำนองว่าพยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ดังนี้เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นร้องขัดทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงห้ามมิให้อุทธรณ์

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้กู้ยืม ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 56,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่กู้ยืมไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านไม้ชั้นเดียวไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 5 ตู้เย็น จักรเย็บผ้า ตู้เก็บของและตู้ไม้ซึ่งเป็นทรัพย์ที่อยู่ภายในบ้านดังกล่าวเพื่อบังคับชำระหนี้

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า บ้านและทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลย ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องและจำเลยเป็นเจ้าของรวมในบ้านและทรัพย์สินดังกล่าว ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อแรกต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องในข้อกฎหมายว่า ศาลจะรับฟังคำเบิกความพยานในคดีเดิมมาเป็นพยานหลักฐานในชั้นร้องขัดทรัพย์ได้หรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า แม้คดีร้องขัดทรัพย์จะเป็นสาขาของคดีเดิม แต่มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของคดีเดิม เพราะมูลคดีและประเด็นแห่งคดีเป็นคนละเรื่องกัน ถึงแม้ทั้งผู้ร้องและโจทก์ต่างแสดงความจำนงอ้างสำนวนคดีเดิมเป็นพยานไว้ในบัญชีระบุพยานแต่การพิจารณาในชั้นร้องขัดทรัพย์ต่างไม่มีฝ่ายใดนำเอาคำเบิกความของจำเลยในคดีเดิมมาสืบประกอบในชั้นร้องขัดทรัพย์ การที่ศาลชั้นต้นรับฟังคำเบิกความของจำเลยในคดีเดิมมาเป็นพยานหลักฐานในชั้นร้องขัดทรัพย์จึงเป็นการไม่ชอบ เห็นว่า แม้มูลคดีและประเด็นแห่งคดีในชั้นร้องขัดทรัพย์กับคดีเดิมจะเป็นคนละเรื่องกันดังที่ผู้ร้องฎีกาก็จริงแต่ปรากฏตามคำแถลงของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 4 มีนาคม 2537 ผู้ร้องขออนุญาตยื่นสำนวนคดีเดิมเป็นพยานและศาลชั้นต้นได้สั่งรับตามคำแถลงของผู้ร้องแล้ว ดังนี้ ถือได้ว่าพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนคดีเดิมได้ถูกนำเข้าสู่สำนวนในชั้นร้องขัดทรัพย์แล้วดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นรับฟังคำเบิกความของจำเลยซึ่งอยู่ในสำนวนคดีเดิมมาประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นร้องขัดทรัพย์ จึงหาใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานนอกสำนวน ดังที่ผู้ร้องฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ศาลมีอำนาจรับฟังคำเบิกความของจำเลยในสำนวนคดีเดิมมาประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดในคดีชั้นร้องขัดทรัพย์ชอบแล้ว

ส่วนปัญหาที่ผู้ร้องฎีกาว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องหาใช่อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงไม่นั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องอุทธรณ์เป็นทำนองว่า พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ดังนี้จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นร้องขัดทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงห้ามมิให้อุทธรณ์

พิพากษายืน

Share