คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 915/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยหย่าขาดจากสามีภริยากัน แต่มิได้แบ่งทรัพย์สินกัน เมื่อหย่ากันแล้วโจทก์กับสามียังคงอยู่ด้วยกันและมีบุตรอีก 2 คน โจทก์ได้เอาเงินที่มิได้แบ่งเมื่อตอนหย่าและเป็นเงินที่โจทก์กับสามีทำมาหาได้ด้วยกันมาซื้อที่ดินและปลูกเรือนพิพาทอยู่กันกับสามีเป็นการแสดงว่าโจทก์กับสามีแสดงเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินและเรือนพิพาท เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของสามีมีสิทธินำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์พิพาทส่วนของสามีได้ โจทก์มีสิทธิเพียงแต่ร้องขอกันส่วนของโจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลรวมพิจารณาพิพากษา และเรียกนางอุดมสายชนะ ว่าโจทก์ เรียกนางเพิ่ม พันธสีมา ว่าจำเลยที่ 2

สำนวนแรก จำเลยที่ 2 ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและเรือนพิพาทเพื่อขายทอดตลาดอ้างว่าเป็นทรัพย์ของนายจันทร์ลูกหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ในคดีนี้ร้องว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของโจทก์ ขอให้ปล่อยทรัพย์

จำเลยที่ 2 ให้การว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของนายจันทร์ ขอให้ยกคำร้อง

สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 โดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามี ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ และโจทก์ตั้งใจจะขายเอาเงินไปชำระราคาที่ดินและเรือน ทำให้โจทก์ขายไม่ได้ และถูกรับเงินมัดจำค่าที่ดินและเรือน การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย แม้นายจันทร์จำเลยจะเคยเป็นสามีโจทก์มาก่อน ก็ได้หย่าขาดจากกันแล้ว ไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องกับทรัพย์พิพาท

จำเลยทั้งสองให้การว่า ทรัพย์ที่จำเลยนำยึดเป็นของนายจันทร์นายจันทร์นำไปเป็นประกันเงินกู้ที่นายจันทร์ยืมจำเลยไป โจทก์กับนายจันทร์ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ ทรัพย์ที่จำเลยนำยึดเป็นทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ไม่อาจจะซื้อขายกันได้ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า การที่โจทก์กับนายจันทร์จดทะเบียนหย่าขาดจากกันนั้น ไม่มีเจตนาหย่ากันจริงจัง เป็นการแสดงเจตนาลวง การหย่าเป็นโมฆะ ทรัพย์พิพาทจึงยังคงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายจันทร์ โจทก์ไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด ที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย เมื่อทรัพย์พิพาทยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายจันทร์ แม้โจทก์จะได้รับความเสียหาย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยให้ยกคำร้องและฟ้องของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กับนายจันทร์ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ยังมิได้มีการแบ่งทรัพย์สินกัน โจทก์ได้เอาเงินที่โจทก์กับนายจันทร์ทำมาหาได้ด้วยกันและโจทก์ได้แอบเก็บไว้ก่อนหย่าไปซื้อที่ดินและปลูกเรือนพิพาท แล้วโจทก์กับนายจันทร์อยู่ด้วยกันเป็นการแสดงว่าโจทก์กับนายจันทร์แสดงเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินและเรือนพิพาท จำเลยมีสิทธินำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์พิพาทส่วนของนายจันทร์ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท คงมีแต่สิทธิร้องขอกันส่วนของโจทก์เท่านั้น การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิด โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะร้องขอกันส่วนของตนตามกฎหมาย

Share