แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองทำงานที่บริษัทเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 1ทราบว่าสายลับมาขอซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ได้เรียกจำเลยที่ 2 มาขายให้แก่สายลับ และร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการ เจรจาราคาจากเม็ดละ 20 บาท เป็นเม็ดละ 25 บาท เมื่อสายลับ ตกลงซื้อจำเลยที่ 1 ก็รับเงิน 1,000 บาท จากสายลับแล้วมอบ ให้แก่จำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้เป็นผู้ครอบครอง เมทแอมเฟตามีน ที่ขายให้แก่สายลับก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการขายเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นไม่ใช่เป็นเพียงแนะนำให้สายลับ ทราบว่ามีขายเท่านั้น จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำ ความผิดเข้าลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 1 จึงมี ความผิดฐานเป็นตัวการในความผิดดังกล่าวตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 มาตรา 5, 9, 13, 16ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 51 (พ.ศ. 2531) เรื่องระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2531 ข้อ 3(7) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 85 (พ.ศ.2536)เรื่อง กำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภทที่ 1 หรือประเภท 2 ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ลงวันที่ 19 มกราคม 2536 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขและริบถุงพลาสติกกับเงินของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิวรรคหนึ่ง, 89, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี เฉพาะจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด8 ปี ริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ริบถุงพลาสติกและเงิน 6,000 บาทของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้คืนเงิน 16,850 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 ลงโทษจำคุก 12 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 40 เม็ด ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งว่าจำเลยทั้งสองทำงานที่บริษัทสหหล่มสักขนส่ง จำกัด ด้วยกันในวันเวลาเกิดเหตุ เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบว่าสายลับมาขอซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ได้เรียกจำเลยที่ 2 มาขายให้แก่สายลับและร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการเจรจาราคาเมทแอมเฟตามีนจากราคาเม็ดละ 20 บาท เป็นเม็ดละ 25 บาท เมื่อสายลับตกลงซื้อจำเลยที่ 1 ก็รับเงิน 1,000 บาท จากสายลับแล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ดังนี้ เห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนจำนวน 40 เม็ด ที่ขายให้แก่สายลับก็ตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นหาใช่เป็นเพียงแนะนำให้สายลับทราบว่ายาม้ามีขายเท่านั้นไม่เมื่อจำเลยที่ 1 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 และได้กระทำการอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งการขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดเข้าลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการในความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุก 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์